2 เม.ย. 2020 เวลา 11:30
กรณีศึกษา ผู้นำหญิงแกร่ง 4 ประเทศ ในยุค COVID-19
ในขณะนี้ ที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการระบาดของ COVID-19 อย่างหนักหน่วง
วิธีการรับมือก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สภาพแวดล้อม และผู้นำของแต่ละประเทศ
เราคงได้ยินคำกล่าวที่ว่า “สงครามสร้างวีรบุรุษ”
ดังนั้นถ้าผู้นำคนไหนสามารถจัดการปัญหาได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ได้กลับมาย่อมเป็นคะแนนความนิยมจากประชาชน
วันนี้ลงทุนเกิร์ลไม่ได้จะพูดถึงวีรบุรุษ
แต่จะพาไปพบกับวีรสตรีที่ได้รับความชื่นชมจากประชาชนในช่วงวิกฤติ COVID-19
คุณไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน
คุณจาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์
คุณเมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก
และคุณอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
แล้วเรื่องราวของพวกเธอน่าสนใจอย่างไร? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟังค่ะ
ก่อนอื่นเรามาดูเฉพาะตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อของ 4 ประเทศนี้ (ข้อมูลวันที่ 2/4/2020)
ไต้หวัน 329 ราย
นิวซีแลนด์ 723 ราย
เดนมาร์ก 3,107 ราย
เยอรมนี 77,981 ราย
เริ่มจากไต้หวัน ที่ถูกมองว่าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม
โดยเฉพาะในช่วงที่ COVID-19 ระบาดแรกๆ
เพราะไต้หวัน ถือเป็นประเทศที่รายล้อมด้วยประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสูง
ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการระบาดในเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม ไต้หวันกลับสามารถทำให้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อคงที่ได้
จากการเริ่มมาตรการป้องกันตั้งแต่การระบาดยังเป็นเพียงข่าวลือ
ซึ่งตอนนั้นไต้หวันก็เริ่มตรวจสอบผู้ที่เดินทางมาจากมลฑลหูเป่ย์ ซึ่งเป็นจุดที่พบการระบาดแห่งแรก
และยังเป็นประเทศแรกๆ ที่ตัดสินใจลดเที่ยวบินระหว่างจีนอีกด้วย
ในเรื่องของหน้ากากที่กำลังเป็นปัญหาขาดแคลนกันทั่วโลก รัฐบาลไต้หวันก็ได้สั่งให้เร่งเพิ่มกำลังผลิต และในอีกด้านก็ประกาศห้ามส่งออก รวมถึงจำกัดการซื้อในประเทศ
ที่สำคัญคือ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อสื่อสารข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ
อย่างแอปพลิเคชันระบุพิกัดของร้านขายหน้ากาก หรือแผนที่ติดตามผู้ป่วย COVID-19
นอกจากนั้นคุณไช่ อิงเหวิน ยังออกมาสื่อสารกับประชาชนด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง
มีการแจกแจงหน้าที่อย่างชัดเจนว่าใครในรัฐบาลดูแลเรื่องอะไร
ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้คุณอิงเหวิน และคณะรัฐบาลของเธอได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ประเทศต่อมา.. นิวซีแลนด์
ภายใต้การนำของคุณจาซินดา อาร์เดิร์น ซึ่งได้รับคำชื่นชมตั้งแต่ก่อนวิกฤติโรคระบาดนี้แล้ว
อาจด้วยเพราะเธอเป็นผู้หญิง และอายุไม่มาก
ทำให้การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ เต็มไปด้วยความเข้าใจ ในรูปแบบที่เข้าถึงคนทั่วไป
อย่างเช่น การแสดงจุดยืนที่ชัดเจนหลังเหตุการณ์กราดยิงเมืองไครสต์เชิร์ช
ด้วยการสวมผ้าคลุมฮิญาบ เพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ศาสนา
หรือภาพการเดินลงจากเครื่องบินด้วยชุดลำลองและสะพายเป้หนึ่งใบ
เพื่อมาเข้างานประชุมสุดยอด Business and Investment Summit 2019 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
และล่าสุดคุณอาร์เดิร์น ก็กลายเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง จากการไลฟ์สดในเฟซบุ๊กส่วนตัว
หลังนิวซีแลนด์ส่งข้อความหาประชาชน เพื่อแจ้งข่าวการปิดประเทศในวันรุ่งขึ้น
โดยคุณอาร์เดิร์น มาปรากฏตัวในชุดลำลองเช่นเคย เธอบอกว่าเพิ่งพาลูกเข้านอนเสร็จ
จึงอยากใช้เวลานี้พูดคุยกับประชาชนของเธอ
ตลอดการไลฟ์ของเธอ เป็นการพูดถึงสถานการณ์ทั่วไปของการระบาด
วิธีรับมือ การตอบคำถามจากผู้คอมเมนต์ ด้วยคำพูดที่เข้าใจได้ง่าย
รวมถึงส่งกำลังใจ และให้ทุกคนหมั่นดูแลซึ่งกันและกัน
สำหรับในด้านนโยบายรับมือกับ COVID-19 ของคุณอาร์เดิร์น และรัฐบาลของเธอ
นอกจากจะตัดสินใจยกระดับเป็นมาตรการสูงสุด ซึ่งหมายถึงการปิดเมืองและธุรกิจที่ไม่จำเป็นอย่างรวดเร็ว
ก็ยังมีการออกโครงการชดเชยรายได้ และช่วยจ่ายค่าจ้างพนักงาน สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบด้วย
เดนมาร์ก เป็นอีกประเทศที่ใช้นโยบายคล้ายๆ กับนิวซีแลนด์
คุณเมตเต เฟรเดอริกเซน นายกหญิงแห่งเดนมาร์ก ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ยอมประกาศปิดประเทศ ภายใน 2 วัน
หลังจากที่มีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันเดียว 172 ราย เมื่อ 9 มีนาคม
มาตรการนี้ครอบคลุมทั้งการเดินทางระหว่างประเทศ และภายในประเทศ
รวมถึงสั่งห้ามคนที่ทำงานในเมือง ไม่ให้เดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
แน่นอนว่ามาตรการนี้ ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก
แต่ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลได้วางแผนและออกนโยบายรองรับไว้ล่วงหน้าแล้ว
มีการเข้าไปช่วยเหลือธุรกิจที่มีปัญหา
โดยภาครัฐรับผิดชอบช่วยจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน เป็นจำนวน 75% ของเงินเดือนที่ได้รับ
แต่ไม่เกิน 23,000 โครนเดนมาร์ก คิดเป็นเงินไทยราว 110,000 บาท
ดังนั้นภาระเงินเดือนพนักงานที่นายจ้างรับผิดชอบ ก็จะเหลือเพียง 25%
ส่วนพนักงานที่รับค่าจ้างรายวัน ภาครัฐช่วยเหลือสูงสุด 90%
และสูงสุดไม่เกิน 26,000 โครนเดนมาร์ก หรือกว่า 120,000 บาท
พอเป็นแบบนี้ ภาคธุรกิจจึงไม่ต้องลดพนักงาน และภาคประชาชนก็ไม่เกิดการเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา
ส่งผลให้การระบาดในประเทศเดนมาร์ก ไม่รุนแรงเท่าประเทศที่มีพรมแดนติดกัน
ประเทศสุดท้าย เยอรมนี ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า ประเทศนี้น่าสนใจอย่างไร
แม้ว่าตัวเลขผู้ป่วยของเยอรมนีตอนนี้จะสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
แต่ถ้าดูเฉพาะส่วนของอัตราการเสียชีวิตในเยอรมนี จะพบว่าคิดเป็นประมาณ 1%
ในขณะที่ของอิตาลีสูงถึง 16% และของสเปน 12%
เรื่องนี้มีที่มาจาก การยอมทุ่มงบประมาณและทรัพยากรของรัฐบาล
ในการตรวจหาเชื้อจากผู้ต้องสงสัย แม้มีอาการไม่มาก หรือแม้แต่ไม่มีอาการเลยก็ตาม
ทำให้เยอรมนีเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นกับจำนวนผู้ติดเชื้อ
และสามารถกักตัวผู้ป่วย เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อต่อไปได้
เมื่อประกอบกับความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข รัฐบาลจึงรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างทันท่วงที
นอกจากนั้นคุณอังเกลา แมร์เคิล ยังได้ออกมาแถลงผ่านโทรทัศน์ทั่วประเทศ
เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่เธอจะออกมาพูดด้วยตัวเองเช่นนี้
โดยคำแถลงของคุณแมร์เคิล มีความชัดเจนตรงไปตรงมา
บอกให้ทราบถึงสถานการณ์จริงที่อาจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะพาประเทศพ้นวิกฤติไปได้..
เรื่องทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้นำหญิงหลายๆ คน
ทั้งในเรื่องของการสื่อสาร การจัดการปัญหาซึ่งคิดมาแล้วอย่างครอบคลุม
สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนโยน
ก็สามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้เช่นกัน
โดยเฉพาะในช่วงเวลา ที่ความแข็งแกร่งอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
อย่างในสถานการณ์นี้ ที่ทุกคนกำลังบาดเจ็บ
การแก้ปัญหาอย่างเข้าใจ ก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน..
โฆษณา