3 เม.ย. 2020 เวลา 06:52 • สุขภาพ
ประธานาธิบดีของสิงคโปร์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า นาทีนี้ สหรัฐอเมริกาและจีนควรหยุดการขัดแย้งกันและช่วยกันมาพัฒนาวัคซีน
รูปภาพจากBBC
สองมหาอำนาจของโลกควรเลิกโทษกันไปมาว่าใครเป็นต้นตอไวรัส แต่ควรร่วมแรงร่วมใจกันช่วยกันคิดวัคซีนให้เร็วที่สุด
เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์สัญชาติ
ตั้งแต่เกิดเหตุโคโรน่าไวรัสระบาดยังไม่มีการขัดแย้งกัน
แต่เริ่มมีการขัดแย้งกันในช่วงวันที่ 11มี.ค. เมื่อโรเบิร์ต โอเบรียน ที่ปรึกษาทำเนียบขาวได้ออกมาบอกว่า จีนปกปิดข้อมูลการระบาดของไวรัส แทนที่จะประกาศตั้งแต่พบเชื้อคนแรกๆเป็นผลกระทบทำให้ประเทศอื่นรับมือและเตรียมการไม่ทัน
วันที่12มี.ค. จ้าว ลี่เจี่ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน
ได้ตอบโต้ออกมาว่าอาจเป็นทหารสหรัฐเองที่ได้มีการนำระบาดครั้งใหญ่ไปสู่ที่อู่ฮั่น (เพิ่มเติม ในมหกรรมกีฬาทหารโลก ที่จัดในเดือนตุลาคม จัดที่มณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นช่วงการมีพลคนระบาดในช่วงตุลาคมพอดี) มีทหารของสหรัฐเป็นคนนำไวรัสมาแพร่ในประเทศจีนเอง ซึ่งเมื่อทางการจีนออกมาบอกแบบนั้น
คราวนี้ได้ทำให้ประธานาธิบดีของสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้ามาร่วมวงด้วยโดยบอกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เรียกโควิด-19 ว่า
“ไชนีสไวรัส” และวิจารณ์จีนว่าควรจะแจ้งให้เร็วกว่านี้3เดือน
เพื่อเช่นนั้นประชากรทั้วโลกคงไม่ต้องมาล้มตายขนาดนี้
เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้คำเรียกว่า “ไชนีสไวรัส”
ทำให้กระทรวงต่างประเทศของจีนได้ออกมาตอบโต้ว่าควรให้สหรัฐเลิกป้ายสี และโยนความผิดให้จีนได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีการระบาดใหญ่ที่จีน แต่จีนก็ช่วยต่อสู้กับโรคระบาดอย่างเต็มที่แล้ว
ทั้ง2ชาติมีการตอบโต้กันไปมาจนขึ้นหน้า1ในหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง
นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์📸CNA
จนในที่สุดคนกลางลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีของ สิงคโปร์
ได้ออกมาบอกว่า ทั้ง2มหาอำนาขของโลก ควรเลิกตอบโต้กันไปมา และร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาวัคซีน
เพราะถ้า2ประเทศนี้ร่วมมือกันจะสามรถผลิตวัคซีนที่รักษาผู้ป่วยโควิด-19ได้ เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ของทั้ง2ประเทศอยู่ในระดับชั้นนำของโลกในขณะนี้
เพราะสหรัฐต่างมีการแพทย์และระบบวิทยาศาสตร์ที่ดี
ส่วนจีนก็มีประสบการณ์จากการเผชิญกับไวรัสควรออกมาบอกว่าผิดพลาดตรงไหนไป เพื่อไม่ให้ชาติอื่นเดิมตามรอยความผิดพลาดนั้นอีก และร่วมมือกันพัฒนาวัคซีน
เรียบเรียงโดย อะไรดี
โฆษณา