Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
T'ell a story
•
ติดตาม
8 เม.ย. 2020 เวลา 15:23 • ประวัติศาสตร์
ตำนาน ครอบครัว มนุษย์กินคน ซอว์นี่ บีบ แห่งสก็อตแลนด์
ปัจจุบันได้มีหนังสยองขวัญเกียวกับ มนุษย์กินคนมากมายหลายเรื่อง อาทิ ฮันนิบาล เล็กเตอร์ The Silence of the Lambs ที่เป็นหนังทางฝั่งยุโรป และ เชือดก่อนชิม ที่เป็นหนังทางฝั่งเอเชีย แต่จะมีใครรู้มั้งว่าในอดีต ได้มี ครอบครัวมนุษย์กินคนที่เกิดขึ้นจริง วันนี้ทาง Tell a story จะพาคุณย้อนอดีตไปใน ศตวรรษที่ 15 บางคนก็ว่า 17 เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ลักลอบฆ่าคนแล้วนำไปทำเป็นอาหาร ซึ่งครอบครัวนี้ มีสมาชิกด้วยกันถึง 48 คน และ สังหารเหยื่อมาแล้วมากกว่า 1,000 คน จนกลายเป็นตำนาน ซอว์นี่ บีน ครอบครัวกินคนแห่งสก็อตแลนด์
เรื่องราวของครอบครัว คนกินคน นี้ ปรากฎอยู่ใน หนังสือนิวเกตส์ ที่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับนักโทษที่ถูกจำคุกอยู่ในนิวเกตส์ ซึ่งในบันทึกเล่มนี้ได้บอกเล่าเรื่องราว สุดสยอง และ อำมหิต
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 15 หรือ 17 ในสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 กษัตริย์ของประเทศอังกฤษ เมืองเอดินบะระ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสก็อตแลนด์ เด็กชาย ซอว์นี บีน (Sawney Bean) เป็นลูกของช่างไม้คนหนึ่งที่มีฐานะทางครอบครัวธรรมดา ซอว์นี่ บีน นั้นได้วิชาช่างจากพ่อของเขา เมื่อเข้าโตเป็นหนุ่ม ก็ได้แยกไปอยู่ตามลพังประกอบอาชีพเป็นช่างไม้ และได้แต่งงานกับหญิงสาวนางหนึ่ง
ชีวิตคู่ของ ซอว์นี่ นั้นค่อนข้างที่จะยากจน เนื่องด้วย เขาเป็นคนที่ขี้เกียจ ไม่ชอบที่จะทำงาน ทั้งยังเป็นคนที่มีนิสัยโหดเหี้ยม โมโหร้าย ชอบมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนบ้านเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวซอว์นี่ บีน และด้วยความยากจน ทำให้เขาและภรรยาต้องระหกระเหินไร้ที่อยู่อาศัย จำต้องอพยพมาอยู่แถบชายฝั่งแถวกัลป์โลเวอร์ ซึ่งเป็นที่ห่างไกลชนบท จนได้มาพบกับถ้ำแห่งหนึ่งในเขต Bennane Head ซึ่งทั้งคู่ตัดสินใจปักหลักใช้ที่นี่เป็นบ้านหลังใหม่
ถ้ำที่ครอบครัว ซอว์นี่ บีน อยู่อาศัยนั้นเป็นถ้ำที่มีลักษณะพิเศษคือ ในยามปกติ ชายหาดหน้าถ้ำจะเป็นลานกว้าง เข้าออกได้ง่าย แต่เมื่อถึงยามน้ำขึ้น 2 วันต่อครั้ง น้ำจะท่วมพื้นที่กว่า 100 ยาร์ด หน้าปากถ้ำเป็นกสนกั้นให้คนภายนอกเข้าไม่ได้ อีกทั้งภายในถ้ำก็คดเคี้ยวไปมา แม้จะมืดและอากาศชื้น แต่ก็อยู่สบายสำหรับซอว์นี่ บีนและครอบครัว ซึ่งถ้ำนี้เองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใครหาพวกเขาพบเป็นเวลาหลายปี ทั้งคู่นั้นได้ใช้เวลาอยู่ในถ้ำแห่งนี้นานถึง 25 ปี หากคุณผู้อ่านสงสัยว่า ทำไมเขาถึงไม่สร้างบ้านล่ะ คำตอบคือ “ขี้เกียจ” มีถ้ำใหญ่โตขนาดนี้จะสร้างบ้านให้เมื่อยและเปลืองเงินทำไม!
สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อให้ครอบครัวได้มีชีวิตอยู่รอด ภายในภ้ำแห่งนี้นั้นก็คือ การดักปล้นจี้นักเดินทางที่ผ่านไปผ่านมา โดยหวังเพื่อแย่งชิงอาหารทรัพย์สิน เครื่องใช้ต่างๆ และฆ่านักเดินทางเคราะห์ร้ายเหล่านั้น พร้อมกับทำลายศพไม่ให้เหลือร่องรอยโดยการลากทิ้งทะเล เวลาผ่านไปทั้งคู่ได้ให้กำเนิดลูก ถึง 14 คน โดยมี ผู้ชาย 8 คน ผู้หญิง 6 คน และจากการที่สมสู่กันเองภายในครอบครัว จึงทำให้มีหลานๆ เพิ่มขึ้นมาอีก 32 คน ได้แก่ หลานชาย 18 คน และ หลานสาว 14 คน เนื่องจากการสมสู่กันเองภายในครอบครัวจึงทำให้ สมาชิกบางคนในครอบครัวมีความพิการ และ สติปัญญาไม่สมประกอบ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อสมาชิกเพิ่มขึ้น ปัญหาด้านเสบียงอาหารจึงไม่พออีกต่อไป
ซอว์นี่ ผู้เป็นหัวหน้ารอบครัว จึงได้คิดหาแหล่งอาหารใหม่ นั้นก็คือ “เนื้อคน” ซึ่งเป็นเหยื่อที่ถูกปล้นนั้นเอง ไหนๆก็ฆ่าแล้ว เอาเนื้อมาเป็นอาหารด้วยเลยจะเป็นไรไป การปล้นชิงทรัพย์เหยื่อและฆ่าเหยื่อคราวต่อไป แทนที่ซอว์นี่ บีน จะทำลายศพ กลับนำศพกลับถ้ำและเชือดมาปรุงเป็นอาหารให้ทุกคนในครอบครัว บางชิ้นทาเกลือแล้วแขวนไว้กันเน่า บางส่วนก็นำมาดอง ส่วนโครงกระดูกจะใช้เกลือทาเพื่อดับกลิ่นแล้วซุกซ่อนเอาไว้ในถ้ำ จนระยะหลังๆ กระดูกของคนตายเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีที่จะเก็บ ทำให้ซวอว์นี่ บีนต้องขนกระดูกไปทิ้งทะเลโดยทิ้งให้ไกลที่สุดจากถ้ำที่ครอบครัวอยู่ ด้วยเหตุนี้คนที่อยู่อาศัยใกล้กับชายฝั่งทะเลจึงพบกระดูกคนลอยมาติดชายหาดเป็นประจำ ทำให้เกิดความสงสัยว่ากระดูกเหล่านั้นเป็นของใคร?
ต่อมา เนื่องจากมีผู้คนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นจำนวนมาก ทางการจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสืบหาปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่หลายคนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย(ถูกซอว์นี่ บีน ฆ่าและกินเนื้อไปแล้ว) บางคนก็กลับมาโดยไม่มีเบาะแสอะไรเลย ทางการอังกฤษจึงแก้ปัญหา(แบบไม่ถูกจุด) โดยทำการกวาดจับผู้ต้องสงสัยเอาไปสอบสวนอย่างป่าเถื่อนและลงโทษผู้บริสุทธิ์หลายคน ทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยที่อาศัยในชายฝั่งกัลป์โลเวอร์หวาดกลัวหนักเข้าไปใหญ่ จึงพากันย้ายบ้านหนีไปที่อื่น ทำให้แถบชายฝั่งเปลี่ยวร้าง น่ากลัวขึ่นอีก
สิ่งที่เด็กๆ ของครอบครัว ซอว์นี่ บีน ได้เรียนรู้ในภายถ้ำก็คือ เทคนิคในการฆ่า การชำแหละเนื้อ และ การถนอมอาหาร พวกเขาพูดได้เพียงภาษาอย่างพื้นฐานและเห็นคนจากโลกภายนอกเป็นเพียงเป้าหมายในการฆ่าและอาหารเท่านั้น ในไม่ช้าพวกเด็กก็โตพอจะช่วยงานได้ การปล้นฆ่าของครอบครัวบีนเริ่มทำกันเป็นระบบ งานเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว แม้จะมีกว่า 40 ปากท้องที่ต้องเลี้ยงดู แต่ก็ไม่มีใครในครอบครัวเคยอดเลย หนำซ้ำเนื้อยังจะเหลือจนกินไม่ทัน ต้องทิ้งที่เน่าไปเสียด้วย
พวกนี้จะเลือกเป้าหมายคนเดินทางเท้าที่มากันไม่เกิน 4-5 คน และเข้าล้อมเอาไว้ก่อนลงมือฆ่าอย่างไม่ปราณีโดยไม่เปิดโอกาสให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว หากคนเดินทางขี่ม้าไม่เกิน 2 คนก็จะถูกรุมฆ่า การกระทำที่โหดร้ายนี้กินเวลายาวนานถึง 25 ปี
จนกระทั้งวันหนึ่ง สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งขี่ม้ามาเที่ยวชายหาดกัลโลเวอร์ ขณะผ่านกลุ่มโขดหินใหญ่น้อยติดกับหน้าผา จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนจำนวนเกือบ 30 คน มีทั้งหญิงชายและเด็กๆ อีกหลายคนรวมอยู่ด้วย ทั้งหมดแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่นกรูกันเข้ามารายล้อมสองสามีภรรยา ท่าทีประสงค์ร้าย ในมือแต่ละคนมีอาวุธต่างๆ ทั้งมีด ขวาน ดาบ สองสามีภรรยาตื่นตระหนก แต่ก็ยังคิดว่าคงเกิดความเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง เพราะไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นคนเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่ทันจะพูดอะไรออกมา คนแปลกหน้าเหล่านั้นวิ่งเข้ามาหาแล้วลากตัวสองสามีภรรยาลงจากหลังม้า
สามีซึ่งสะพายดาบมาด้วยซักดาบออกมากวัดแกว่งสกัดกั้นไม่ให้เข้าถึงตัว แต่ภรรยาป้องกันตัวเองไม่ได้จึงถูกจับตัวเอาไว้ หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มกระชากผมของเธอจนหน้าหงาย แล้วใช้มีดคมกริบปาดคอทันที พอเลือดพุ่มออกมาจากบาดแผล หญิงสาวคนนั้นก็ก้มลงดูดเลือดอย่างเอร็ดอร่อยประหนึ่งกำลังดื่มไวน์ชั้นดีก็ไม่ปาน แต่เท่านั้นยังไม่จบ กลุ่มคนร้ายได้ทำการชำแหละท้องและเฉือนร่างภรรยาเป็นชิ้นๆต่อหน้าผู้เป็นสามี
สามีเห็นภรรยาตายต่อหน้าก็รู้ตัวทันทีว่า ถ้าเขาถูกจับตัวเมื่อไหร่เขาคงตายเหมือนภรรยาแน่ จึงหนีไปพลาง สู้ไปพลาง โดยมีพวกผู้ชายท่าทางดุร้ายเหี้ยมเกรียมตามติดไม่ลดละ สามีกระเสือกกระสนเดินผ่านมาทางนั้นจึงวิ่งเข้ามาช่วย พวกที่ตามล่าเห็นมีคนจำนวนมากก็พากันวิ่งหนีไป รอดอย่างหวุดหวิด
เมื่อรอดมาได้ สามีก็พาชาวบ้านที่เขามาช่วยติดตามไปยังที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ากลุ่มคนลึกลับกลุ่มนั้นหายไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่ศพของภรรยานอนอยู่บนหาด ร่างกายถูกเชือดเนื้อไปด้วย ด้วยความช่วยเหลือจากชาวบ้านกลุ่มนั้นสามีก็ได้ศพภรรยากลับไป และไปแจ้งความแก่เจ้าหน้าที่พร้อมเล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทราบเรื่อง สามีภรรยาถูกทำร้ายอย่างบ้าคลั่งจนภรรยาเสียชีวิต และกลุ่มชายหญิงกลุ่มนั้นส่อแววว่ามีนิสัยชอบกินเนื้อศพ จึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ (ต่อมาคือพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ)
พระเจ้าเจมส์ที่ 6 มีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ดูแลพื้นที่ฝั่งกัลป์โลเวอร์มาเข้าเฝ้าฯ ทรงซักถามรายละเอียดความเป็นไปของพื้นที่ดังกล่าว ได้ความว่า คนพื้นบ้านและคนเดินทางที่ผ่านไปผ่านมาในบริเวณนั้นมักจะหายสาบสูญไปอย่างไร่ร่องรอยเป็นประจำ แต่ไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้ จน 4 วันต่อมา พระเจ้าเจมส์ที่ 6 มีคำสั่งให้จัดทหารกว่า 400 คน ออกไปค้นหากลุ่มคนลึกลับกลุ่มนั้น โดยเสด็จคุมกองทหารด้วยตัวพระองค์เอง โดยมีสามีที่สูญเสียภรรยาเป็นผู้นำทาง
พระเจ้าเจมส์และกองทหารไปถึงบริเวณกัลโลเวอร์ซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยว ทรงรับสั่งให้เหล่าทหารกระจายค้นหาแหล่งซุกซ่อนของกลุ่มคนดังกล่าวอย่างละเอียด ทหารมีสุนัขล่าเนื้อพันธุ์บลัดฮาวด์มาด้วยเพื่อช่วยค้นหาแหล่งซุกซ่อนกลุ่มคนเหล่านั้น สุนัขไต่ขึ้นไปบนโขดหินสลับซับซ้อนที่แผ่ขยายไปตลอดหน้าผาชายฝั่ง ในที่สุดมันก็ส่งเสียงเห่าไม่หยุดแสดงว่าได้เห็นคนแปลกหน้า พวกทหารจึงป่ายปีนไปตามเสียงเห่าและก็พบว่ามีถ้ำขนาดใหญ่อำพรางอยู่ในซอกหลืบของโขดหิน เมื่อทหารบุกเข้าถ้ำเห็นกระดูกแขนขา ซี่โครงและหัวกะโหลกคนสุมอยู่เป็นกองพะเนินพร้อมเสื้อผ้าสิ่งของเครื่องใช้ อีกทั้งเนื้อคนดองเกลือตากแห้งแขวนอยู่ข้างบน และภายในถ้ำนั้นเองก็ปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมีทั้งชายหญิงและเด็กที่ท่าทางโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว
ภายในถ้ำได้ปรากฎชายสูงอายุหนวดเครารุงรังที่อยู่หน้ากลุ่มก็คือ ซอว์นี่ บีน จากกองกระดูกมนุษย์ที่มากมาย เป็นหลักฐานแสดงว่า ซอว์นี่ บีน และครอบครัวได้ล่ามนุษย์เอามากินเนื้อมานานมาก จนไม่สามารถประมาณว่ามีคนตกเป็นเหยื่อของครอบครัวนี้กี่ราย พระเจ้าเจมส์ที่ 6 ทรงมีคำสั่งให้จับกุมครอบครัวนี้ให้หมดทุกคนเพื่อไปพิจารณาโทษและให้ทหารฝังกองกระดูกและส่วนต่างๆ ของมนุษย์ให้หมด
ครอบครัวตระกูลบีนถูกนำตัวมากักขังไว้ที่ ลิธ หลังจากสอบสวนแล้ว ซอว์นี่ บีน และลูกหลานๆ สารภาพว่า ได้ล่าและกินคนมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 25 ปีติดต่อกัน เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพพร้อมหลักฐานเป็นกระดูกมนุษย์ จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวทุกคนมาพิจารณาความผิดในศาลอีกต่อไป จนมีคำสั่งให้พิพากษาโทษประหารชีวิตซอว์นี่ บีน และครอบครัว โดยให้พวกผู้ชายต้องถูกหั่นร่างเป็นท่อนๆ ส่วนลูกสาวและเด็กต้องถูกเผาทั้งเป็น
ในวันประหารชีวิตครอบครัวตระกูลบีน มีประชาชนสก็อตแลนด์และชาวอังกฤษมามุงดูกันแน่นขนัด ซอว์นี่ บีน และบันดาลูกๆ ทุกคน ไม่มีใครสำนึกผิดแม้แต่น้อย ระหว่างถูกนำตัวไปที่ประหาร พวกบีนตะโกนด่าคนดูวาระสุดท้ายด้วยถ้อยคำที่หยาบคายพร้อมสาปแช่งให้ลงนรกทุกคนตราบหมดลมหายใจ เป็นอันสิ้นสุดคนกินคนแห่งสก็อตแลนด์
ตำนานของครอบครัวมนุษย์กินคนดูเหมือนจะจบลงอย่างหดหู่เพียงเท่านี้ แต่ยังมีอีกหนึ่งตำนานของเมือง Girvan ที่อยู่ใกล้เคียงได้พูดถึงลูกสาวของซอว์นีย์บีนคนหนึ่ง ที่หนีออกจากถ้ำและมาอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เธอได้ปลูกต้น Dule Tree จนกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ The Hairy Tree ซึ่งหลังจากครอบครัวซอว์นีย์ถูกจับ สถานะของเธอก็ถูกเปิดเผยโดยชาวบ้านที่โกรธแค้น และรวมตัวกันจับเธอแขวนคอกับต้นไม้ต้นนั้นนั่นเอง
1 บันทึก
1
3
1
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย