11 เม.ย. 2020 เวลา 12:40 • สุขภาพ
ผลข้างเคียงของยา Chloroquine (คลอโรควิน) ที่ต้องระมัดระวัง ?
หากท่านใดที่ติดตามอ่านข่าวเกี่ยวกับการรักษา COVID-19 น่าจะพอจะได้ยินชื่อยานี้มาบ้าง ยา Chloroquine ถูกค้นพบเมื่อราว ๆ ค.ศ. 1934 แต่เดิมเราใช้ยานี้ในการรักษามาลาเรีย และในปีนี้เอง 2020 ที่เรานำยา Chloroquine มาใช้รักษา COVID-19
ทำไมถึงนำยา Chloroquine มารักษา COVID-19 ได้ล่ะ ?
ก่อนหน้านี้มีการศึกษาที่พบว่ายา Chloroquine มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสชนิด severe acute respiratory syndrome coronavirus 1 (SARS-CoV-1) ได้ แต่เชื้อที่ก่อให้เกิด COVID-19 เป็นอีกสายพันธ์ุหนึ่งคือ SARS-CoV-2 เราจึงคาดว่ายา Chloroquine น่าจะพอใช้ได้ จึงทดลองใช้ในผู้ป่วยจริง แล้วเห็นผล สุดท้ายออกเป็นแนวทางในการรักษา
ขนาดการรักษาที่ใช้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ดังนี้ (อ้างอิงแนวทางการรักษาในประเทศไทย)
1. ระดับ Moderate ใช้ในขนาด 250-500 mg ต่อวัน
2. ระดับ Severe ใช้ในขนาด 500-1000 mg ต่อวัน
เมื่อเห็นภาพการนำยา Chloroquine มาใช้รักษา COVID-19 คร่าว ๆ แล้ว บทความนี้ผมมีเรื่องราวที่น่าสนใจของยาตัวนี้มาฝากครับ บอกก่อนเลยว่าเป็นเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผมกำลังจะพูดถึงผลข้างเคียงของยาตัวนี้ที่ต้องระมัดระวัง
ผลข้างเคียงนั้นก็คือ " ผลของยาต่อการมองเห็นครับ "
ยา Chloroquine สามารถทำให้เกิดภาวะจุดรับภาพชัดเสื่อม (maculopathy) ซึ่งกลไกการเกิดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราเชื่อว่ายา Chloroquine สามารถไปจับกับเมลานิน ที่อยู่ในชั้น retinal pigment epithelium (RPE) ของจอประสาทตา ผลของการจับกันนี้ทำให้การมองเห็นลดลงอย่างถาวร
อ่านไม่ผิดหรอกครับ " ลดลงอย่างถาวร " นั่นหมายความว่าท้ายที่สุด ตาอาจจะบอดได้เลยครับ
ภาพจอประสาตาเสื่อม ภาพจาก (1)
อย่าเพิ่งตกใจไปครับ ผลข้างเคียงนี้รุนแรงมากก็จริงแต่พบน้อยครับ อุบัติการณ์ในการเกิดพบน้อยกว่า 2% ครับ แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วยก็ไม่แน่ว่าโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงนี้อาจจะสูงขึ้นได้ครับ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นมีอะไรบ้างล่ะ ?
1. ใช้ยาในขนาดที่สูงมากกว่า 2.3-3 mg/kg/day เช่นสมมติผมหนัก 50 กิโลกรัม ผมควรใช้ยานี้ไม่เกิน 150 mg/day ทุกท่านลองกลับไปดูขนาดยาที่แนะนำให้ใช้รักษา COVID-19 ดูสิครับ สมมติผมติดเชื้อขึ้นมาประเมินแล้วอยู่ในระดับ Moderate ผมต้องเริ่มใช้ยานี้ในขนาด 250 mg/day เห็นไหมครับว่าขนาดยาเกินแล้ว
2. ใช้ยา Chloroquine ติดต่อกันเกินกว่า 5 ปี
3. มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะตับ ไต บกพร่อง ภาวะอ้วน สูงอายุ เป็นต้น
4. ใช้ยา Tamoxifen ร่วมด้วย หากผู้ป่วยใช้ยา Tamoxifen แล้วได้รับยา Chloroquine เข้าไป ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 4 เท่าเลยทีเดียว แล้วใครที่จำเป็นต้องใช้ยา Tamoxifen ล่ะ? เช่น คนไข้ที่เป็นมะเร็งเต้านม เป็นต้น
ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผลข้างเคียงต่อตาจากยา Chloroquine เพิ่มสูงขึ้นหากผู้ป่วยที่ใช้ยานี้แล้วมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้รวมอยู่ด้วย
เมื่อทราบดังนี้จะมีวิธีป้องกันอย่างไรได้บ้าง
เบื้องต้นก่อนที่ผู้ป่วยจะใช้ยา Chloroquine ควรตรวจวัดระดับสายตา ลานสายตา และตาบอดสีเป็นข้อมูลพื้นฐานก่อนครับ เผื่อกรณีติดตามผลหลังจากใช้ยาไปแล้ว เราจะทราบได้ว่ามีความผิดปกติของการมองเห็นเกิดขึ้นหรือไม่
ดังนั้นการนัดตรวจติดตามหลังจากใช้ยาไปแล้วก็มีความสำคัญ รวมถึงการให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ให้รับทราบผลที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะผู้ป่วยจะรู้ตัวเองดีที่สุดเมื่อการมองเห็นของเขาผิดปกติไปจากเดิม ผู้ป่วยจะได้รีบมาพบแพทย์และหาแนวทางแก้ไขต่อไปครับ
นี่ก็เป็นเพียงหนึ่งผลข้างเคียงที่รุนแรงที่เกิดจากยา Chloroquine แม้จะพบน้อยแต่ถ้าพบแล้วรุนแรงถึงตาบอดได้เลยทีเดียว จะว่าไปยาก็คือดาบสองคมดี ๆ นี่เองครับ ประโยชน์มากมายมหาศาล แต่อีกด้านก็มีโทษที่รุนแรงเช่นกัน
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวเห็นประชาชนออกตามหาซื้อยาตัวนี้จากร้านยา เภสัชกรเขาไม่ขายให้หรอกครับ และไม่ควรไปหาซื้อมาใช้เองด้วย การใช้ยานี้ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
ถามจริง เมื่อทราบดังผมได้เขียนแล้วนี้ ยังอยากจะซื้อมาใช้เองหรือ ??
แถมให้ตอนท้าย
ยา Chloroquine ยังพบผลข้างเคียงอื่น ๆ อีก เช่น ผื่นแพ้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิด QT interval prolongation ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เป็นต้น
โฆษณา