ถ้าหากใบซากุระร่วงโรยลงมาด้วยความเร็ว 5 เซนติเมตรใน 1 วินาที แล้วจิตใจคนเราจะเดินทางไปได้เร็วเท่าไรกัน?
วันก่อนผมได้ฟังเพลง “One More Time, One More Chance” อีกครั้ง มันทำให้ผมนึกถึงอนิเมชั่น Masterpiece ของอาจารย์มาโคโตะ ชินไค ผู้ทำ Your Name ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก อนิเมชั่นเรื่องนี้มีชื่อว่า “5 centimeters per second”
5 centimeters per second เป็นอนิเมชั่นความยาว 1 ชั่วโมง นับเป็นอนิเมชั่นเรื่องยาวลำดับที่ 2 ของ อ.ชินไค ออกฉายมาตั้งแต่ปี 2007 ก่อน Your Name ถึง 9 ปีด้วยกัน และเรื่องนี้ทำให้ อ.ชินไค กวาดรางวัลเวทีต่างๆ มากมาย รวมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดกระแสอนิเมชั่นชินไคในแถบประเทศเอเชียขึ้นมา
รวมทั้งผมตามผลงานอาจารย์เรื่องต่างๆ ก็มาจากผลงานเรื่องนี้
ผมเองเคยดูเรื่อง 5 centimeters per second มาหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้ฟังเพลง One More Time, One More Chance ที่เป็นเพลงประกอบในหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้ จึงได้กลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง แล้วความรู้สึกต่างๆ ที่เคยได้ดูคราวแรกก็กลับมาอีกครั้ง
(ด้านล่างนี้มีเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง)
5 centimeters per second หนังแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น 3 ตอน ผ่านช่วงอายุ 3 ช่วงด้วยกัน หนังเล่าเรื่องผ่านเด็กประถมอายุ 13 ปี 2 คน
ทาคากิ และ อาคาริ เด็กทั้งสองต่างมีความเหมือนอยู่ตรงที่ครอบครัวต้องย้ายบ้านอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ทั้งสองต้องย้ายโรงเรียนตามไปด้วย ทำให้ไม่มีเพื่อนที่สนิทมากนัก และเมื่อทั้งสองได้ย้ายเข้ามาอยู่ในโรงเรียนเดียวกันและได้เจอกัน ทั้งคู่จึงเข้าอกเข้าใจจนกลายเป็นความรักที่ชอบพอกัน ไปไหนก็ไปด้วยและมักจะตัวติดกันเสมอๆ ทั้งคู่มักเดินผ่านทางรถไฟที่มีสวนซากุระกำลังร่วงโปรยลงมา และสัญญาว่าจะมาดูซากุระด้วยกันอีก
แต่เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ครอบครัวทั้งคู่ต้องย้ายเมืองอีกครั้ง ทำให้ทั้งสองต้องย้ายไปอยู่คนละโรงเรียน ในตอนแรกทั้งสองก็ติดต่อกันทางจดหมาย เนื่องด้วยในสมัยนั้นมือถือยังไม่มี การจะติดต่อจึงเป็นวิธีทางจดหมายหรือโทรศัพท์สาธารณะเท่านั้น
ต่อมาเมื่อครอบครัวต้องย้ายเมืองไปไกลขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทาคากิตัดสินใจนั่งรถไฟข้ามเมืองไปหาอาคาริ พร้อมกับเขียนความในใจบนกระดาษเพื่อที่จะบอกกับเธอ โดยนัดหมายเจอกันที่สถานีรถไฟในเมืองที่อาคาริอยู่ ในวันนัดหมายอุปสรรคกลับไม่ได้มีแค่ระยะห่างที่ไกลกันเพียงอย่างเดียว มันยังมีพายุหิมะที่พัดโหมกระหน่ำตลอดวัน ทำให้รถไฟแต่ละขบวนต้องล่าช้า ทาคากิดูร้อนรน อึดอัด และมองเวลาอยู่ตลอด แต่ละนาที แต่ละชั่วโมงที่เคลื่อนผ่านจึงเป็นอะไรที่โหดร้ายกับเขามาก ในใจเขาได้แต่ภาวนาให้อาคาริอย่างรอเขา ขอให้เธอกลับบ้านไป ทาคากิหยิบกระดาษที่เขาเขียนบอกความในใจเพื่อให้อาคาริขึ้นมา จังหวะนั้นก็มีสายลมพัดกระดาษจากมือเขาปลิวออกไปไกล ทาคากิได้แต่มองตามก้มหน้านิ่งน้ำตาไหลออกมา
เวลาเลยจากที่ทาคากินัดอาคาริไป 3 ชั่วโมงครึ่ง ทาคากิมาถึงสถานีปลายทางในเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ที่สองข้างทางมืดเงียบสงัด เขาได้แต่หวังว่าอาคาริจะไม่รอและได้กลับบ้านไปแล้ว แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาในสถานี เขาก็เห็นว่าอาคาริยังคงนั่งรอเขาอยู่ ทั้งคู่ดีใจเมื่อได้เห็นหน้ากัน ต่างทักทายยิ้มให้กัน และนั่งพิงกุมมือคุยกันตลอดคืน ท่ามกลางหิมะตกที่หนาวเหน็บอยู่ภายนอก ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ต้องหนาวแต่อย่างใด ด้วยเพราะทั้งคู่ต่างที่มีกันและกันก็ทำให้อุ่นใจกันแล้ว
ณ ช่วงเวลาที่กำลังนั่งคุยมีความสุขนั้น ทาคากิก็คิดถึงอนาคตของเขากับอาคาริ ที่ไม่มีความแน่นอน ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย
ทำให้เขาไม่ได้พูดความในใจที่เขาอยากจะพูดออกมา...
เช้าวันรุ่งขึ้น อาคาริ ก็มาส่งทาคากิขึ้นรถไฟกลับบ้าน ทั้งคู่ต่างมีแววตาเศร้าสร้อย ที่กำลังต้องจากลากันและไม่รู้ว่าจะได้พบเจอกันอีกหรือไม่ ในจังหวะที่ประตูรถไฟกำลังจะปิดนั้นเอง ทาคากิ ก็ได้พูดออกมาให้อาคาริร่าเริงเข้าไว้ แล้วเขาจะคอยเขียนจดหมายมาหาอาคาริอยู่เสมอ นั้นคือคำพูดสุดท้ายที่เขาได้พูดไว้กับอาคาริ
แล้วรถไฟก็แล่นจากสถานีไป แล่นออกจากอาคาริ ที่มือาคาริถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้อยู่ เป็นจดหมายที่เธอเขียนสารภาพรักทาคากิแต่เธอก็ไม่ได้มอบให้ทาคากิ ทั้งคู่จากกันทั้งอย่างนั้น ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่ทั้งคู่เคยมีร่วมกันไว้...
แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จนทาคากิเรียนจบเข้ามาทำงานที่โตเกียว ทาคากิใช้ชีวิตไร้จุดหมาย เฝ้ารอ สิ่งที่ค้างคาในใจเขาตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้เขียนจดหมายหาอาคาริเหมือนที่เคยสัญญาไว้ ไม่เคยโทร.หา ไม่เคยส่งเมสเสสใดๆ ไป ทั้งๆ ที่อยากทำใจจะขาด นั้นเพราะเขาคิดว่าอนาคตของเขาทั้งคู่เป็นเรื่องยากที่จะอยู่ด้วยกันได้ การทำอย่างนั้นมีแต่จะทำให้อาคาริเฝ้ารอเขาและยิ่งทรมานมากขึ้น แต่เขาก็ยังค้างคาใจอยู่ว่าอาคาริจะยังคงรอเขาอยู่ เหมือนตอนที่รอในสถานีรถไฟในครั้งนั้นหรือไม่
ทาคากิจึงมักใช้เวลาเดินไปที่ต่างๆ มองหาอาคาริ เขาเดินไปในสวนซากุระ ที่ตอนเป็นเด็กเขาและอาคาริเคยสัญญากันว่าจะมาชมด้วยกันอีก เขาเดินผ่านรางรถไฟที่ครั้งหนึ่งอาคาริเคยเดินข้ามไปก่อนแล้วรอเขาอยู่อีกฟากตอนรถไฟวิ่งผ่าน
และในวันหนึ่งที่ทาคากิกำลังเดินข้ามรางรถไฟเส้นนั้น เขาก็ได้เดินสวนกับหญิงสาวคุ้นหน้าที่เขาเฝ้ารอ เฝ้าตามหามานาน เขารีบหันหลังกับไปมองทันที ในจังหวะนั้นรถไฟก็วิ่งสวนบังพอดี ทาคากิยืนรอดูและคิดในใจว่า เธอจะยังยืนรอเขาเหมือนตอนที่เป็นเด็กหรือไม่
เมื่อรถไฟแล่นผ่านไปหมด เขาก็ได้พบคำตอบ...
แม้ผมเคยดูมาแล้วครั้งหนึ่ง พอมาดูหนังเรื่องนี้จบใหม่อีกรอบ
ผมก็ยังรู้สึกจุก หนักๆ หน่วงๆ อีกครั้ง มันทำให้ผมคิดว่าหากเราอยากทำอะไรแล้วก็ควรทำไปซะ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจ ไม่ต้องมาค้างคาใจทีหลัง
บางทีคนเราการที่ไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ และมีสิ่งที่มันค้างคาใจ มันก็ทำให้เราไปยึดติดอยู่กับมัน จนไม่สามารถก้าวเดินไปไหนต่อได้ ทั้งที่จริงตลอดเวลาที่ผ่านมา เราก็มีโอกาสที่จะทำสิ่งนั้นมาตลอด แต่กลับไม่ทำ..การจะขอโอกาสใหม่อีกครั้ง มันก็อาจจะสายเกินไปแล้ว..
ซากุระยังร่วงโรย 5 เซนติเมตรในหนึ่งวินาที
ใจคนเราก็อาจแปรเปลี่ยนไปได้ตลอด
แต่หากเรายังยึดติดอยู่กับที่ไม่ไปไหน
ก็คงเรียกว่าไม่ได้ใช้ชีวิตแล้ว...
คลิปวิดีโอจาก
Youtube : AnimeMusic GAMESMV