18 เม.ย. 2020 เวลา 18:19 • ประวัติศาสตร์
"จูหยวนจาง" ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง
ภาพจาก Pinterest & ดาบมังกรหยก 2019
จากการที่พักนี้ผมว่างจัดเนื่องจากการที่ต้องกักตัว ตั้งแต่เข้าปี 2563 มานี้...ผมเลยมีเวลาดูซีรีย์ และ อะนิเมะ เยอะมาก เอาแค่ซีรีย์จีนนี่...ที่ชัดๆก็มีสามเรื่อง คือ สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย, ลูกปลาน้อยเซียวฮื่อยี้ และล่าสุดที่กำลังดูอยู่คือ ดาบมังกรหยก 2019
และเนื่องจากวันนี้...ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปอ่านกระทู้กลุ่มในเฟสบุ๊ค ชื่อ "มังกรหยก รวมยุทธจักรกิมย้ง (และหนังจีนกำลังภายในอื่นๆ)"
ในกระทู้มีการกล่าวถึง จูหยวนจาง ซึ่งในเรื่องดาบมังกรหยก เป็นหนึ่งในหัวหน้าสาขาของนิกายเม้งก่า และภายหลังได้ยกตนเป็นกษัตริย์/ฮ่องเต้ พร้อมทั้งฆ่าล้างนิกายเม้งก่าที่ตนเองเคยสังกัดจนหมด
และจากกระทู้นี้....ทำให้ผมได้รู้ว่า...คนไทยหลายๆคน ไม่ได้รู้เลยว่า จูหยวนจาง และตัวละครหลายๆคนในเรื่องดาบมังกรหยกเนี่ย...
>>>มีตัวตนอยู่จริงๆในประวัติศาสตร์จีน...<<<
อ่ะ ก่อนที่เราจะมาพูดถึง จูหยวนจาง เนี่ย... เรามาพูดถึงนิกายเม้งก่ากันก่อน
นิกายเม้งก่า ภาพจากเกมส์ JY Online (ใครทันเล่นบ้างมั๊ยครับ? ตอนนั้นผมติดอันดับสิบของบู๊ตึ๊งด้วยนะ
นิกายเม้งก่า เป็นสำเนียงจีนแต้จิ๋ว (ถ้าเป็นจีนกลางจะอ่านว่า หมิงเจี้ยว) ส่วนภาษาไทยถูกแปลว่า พรรคจรัส หรือ นิกายเรืองโรจน์ ซึ่งในชีวิตจริงนิกายเม้งก่านี้จะมีคนรู้จักกันในชื่อ“มาณีกี” (Manicheism)
มาณีกี เข้ามาในจีนตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161-1450) แต่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกในดินแดนเปอร์เซีย มีศาสดาชื่อ “มาณี” (Mani, หรือที่บางคนเรียกว่า แมนนี) ซึ่งลืมตาขึ้นมาบนโลกเมื่อ พ.ศ.753 ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อราว พ.ศ.819 หลักใหญ่ใจความของศาสนามาณีกีเชื่อว่า "พลังของแสงสว่างและความมืดจะสู้รบกันจนชั่วกัลปาวสาน เพื่อแย่งชิงจักรวาลนี้"
แสงสว่างที่ว่าคือตัวแทนของความดี นิกายนี้จึงบูชาแสงสว่าง และนี่คือที่มาของชื่อ นิกายเรืองโรจน์ (ซึ่งก็คงหมายถึงแสงสว่าง) หรือพรรคจรัส ในนิยาย
เทพเจ้าแห่งแสงสว่างของศาสนามาณีกีคือ อาหุร มาสด้า (Ahura Mazda, พระองค์จะสู้รบกับเทพแห่งความมืดคือ หริมัน (Ahriman หรือ Angra Mainyu) อยู่เสมอ โดย อาหุร มาสด้า นั้นก็คือชื่อของเทพเจ้าสูงสุดในคัมภีร์อเวสตะ ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroaster) ที่บูชาไฟมาก่อน
ภาพ Ahura Mazda จาก Google
แต่ว่าทั้งสองศาสนานี้ เป็นคนละศาสนากัน ถึงจะเกี่ยวกันอยู่มากก็ตาม ที่มีคนอธิบายว่านิกายเรืองโรจน์ของหวงอี้ กับเม้งก่าของกิมย้ง คือศาสนาโซโรอัสเตอร์จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ที่สำคัญอีกอย่างคือพวกมาณีกี เชื่อว่า มาณี เป็นศาสดาคนสุดท้าย ก่อนหน้านี้โลกมีศาสดามาแล้ว 4 คน เรียงตามลำดับไหล่ได้แก่ อาดัม (Adam, มนุษย์คนแรกของโลกในศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม), ซาราธรุสตร้า (Zarathustra, ศาสดาของโซโรอัสเตอร์), ส่วนอีกสองคนคือ พระพุทธเจ้า กับพระเยซู
พวกมาณีกีนั้นเชื่อโดยไม่สงสัยเลยว่า บรรดาศาสดาทั้งหลายที่เคยลงมาในโลกนี้ ต่างก็ยังทำภารกิจไม่สำเร็จ เพราะยังทำให้แสงสว่างมีอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ครบถ้วน คือแสงสว่างยังมีอยู่เฉพาะเพียงในตัวของมนุษย์เท่านั้น มาณีก็เลยต้องมาเผยแพร่ศาสนาให้แสงสว่างเอาชนะความมืด หรือผสมผสานแสงสว่างกับความมืดให้อยู่ด้วยกันได้นั่นเอง
กลับมาที่เรื่องราวของ จูหยวนจาง กันครับ
ภาพจาก Pantip
จูหยวนจาง เป็นพระนามเดิมของ จักรพรรดิหงอู่ ผู้สถาปนาราชวงศ์หมิงของจีน เกิดในครอบครัวชาวนาที่หมู่บ้านกูจวง ตำบลจงหลี อำเภอเหาโจว มณฑลอันฮุย เมื่อ พ.ศ. 1871 บิดามีชื่อว่า จูซื่อเจิน มารดามีชื่อว่า เฉินสี ในวันที่เขาเกิดนั้นมีเรื่องเล่าว่าพ่อไปตักน้ำได้พบผ้าแพรแดงผืนหนึ่งซึ่งคนในหมู่บ้านต่างเห็นว่าเป็นมงคลนิมิต จูซื่อเจินจึงตั้งชื่อบุตรชายคนนี้ให้มีชื่อว่า "จูหยวนจาง" แปลว่า "แผ่นหยกชั้นเลิศ"
ในปี พ.ศ. 188 เกิดโรคระบาดซ้ำเติมความแห้งแล้งที่มีติดต่อกันนานหลายปี จูซื่อเจินกับนางเฉินสีและพี่ชายคนโตจูจ้งซื่อได้เสียชีวิตลง เพื่อนบ้านที่พอมีฐานะเกิดความสงสารจึงแบ่งที่ดินให้ใช้ฝังศพคนทั้งสาม จากนั้นบุตรที่เหลือจึงแยกย้ายเร่ร่อนไปรับจ้างหาเลี้ยงชีพ จูหยวนจางจำต้องไปบวชเป็นเณรที่วัดหวางเจวี๋ยซื่อ แต่ภัยแล้งที่มีติดต่อกันอย่างยาวนานทำให้วัดเองประสบปัญหาไม่น้อย พระและเณรในวัดต่างต้องออกธุดงค์ไปเที่ยวภิกขาจารต่างถิ่นซึ่งรวมถึงเณรจูหยวนจางด้วยเช่นกัน จนถึง พ.ศ. 1891 จึงได้บวชเป็นพระแต่บวชได้เพียงสี่ปีก็สึกออกมาเนื่องจากในขณะนั้นเกิดขบวนการหลายกลุ่มขับไล่จักรวรรดิมองโกลออกไปจากแผ่นดินจีน จูหยวนจางเข้าร่วมกับพลพรรคกบฏโพกผ้าแดง ของหานซานถง พวกกบฏโพกผ้าแดงนับถือนิกายบัวขาวผสมเม้งก่า บูชาคัมภีร์มหาอนุโรจนราชาโลกสมภพ (大小明王出世經) ซึ่งกล่าวถึงการปรากฏของ "พระผู้ไถ่" แต่เรียกว่า "พระเมตไตรย" หรือ หมิงหวาง ซึ่งเป็นแนวคิดของของนิกายเม้งก่าอย่างชัดเจน และในทางวิชาการก็ยอมรับกันด้วยว่าคัมภีร์นี้เป็นของเม้งก่า
ต่อมาหานซานถงก็ตั้งตัวเองเป็น หมิงหวาง (โรจนราชัน) เมื่อตายไป ลูกชาย คือ หานหลินเอ๋อร์ ก็เป็นหมิงหวางแทน แต่ลือกันว่า ถูกจูหยวนจางจับถ่วงน้ำ แล้วตัวเองขึ้นมาครองอำนาจนำทัพ "เม้งก่า" ล้มมองโกล
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 1910 จูหยวนจางยกทัพบุกถึงนครต้าตูเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน จักรพรรดิซุ่นตี้เห็นเหลือกำลังที่จะรับมือจึงพาเหล่าพระญาติพระวงศ์และชาวมองโกลหนีออกนอกด่านไปอยู่ที่เมืองซ่างตู วันที่ 2 เดือน 8 จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเป่ยผิง ประกาศตั้งราชวงศ์ต้าหมิง ตามนิกายเดิมของตน คือ "หมิงเจี้ยว" (เม้งก่า) สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ทรงพระนามว่าหมิงไท่จู่ ใช้ศักราชประจำพระองค์ว่าหงอู่
จักรพรรดิหงอู่ทรงครองราชย์สมบัติเป็นเวลายาวนานถึง 30 ปี เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1941 สิริพระชนมพรรษา 70 พรรษา พระบรมศพได้รับการเชิญไปประดิษฐานไว้ที่สุสานหลวงหมิงเซี่ยว เชิงเขาจื่อจินซาน ชานกรุงหนานจิง
ภาพ สุสานหลวงหมิงเซี่ยว จาก Google
ปล.ตามตำนานเล่าว่า จูหยวนจางหน้าตาอัปลักษณ์ยิ่งนัก หากช่างหลวงกลัวถูกประหารจึงวาดออกมาดูงามสง่า แล้วตั้งไว้ในวังหลวง ส่วนภาพอัปลักษณ์แพร่หลายในหมู่มวลชน จะเป็นความจริง เป็นจินตนาการ หรือเป็นการป้ายสีของศัตรูหรือไม่ ยังชัดเจนนัก
ภาพจาก Gypzyworld
แถมครับ ในเพจ ปกิณกะ ของ อ.แชมป์ มีเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อมสัมพันธไมตรี ระหว่างประเทศไทย กับ จูหยวนจางด้วยนะครับ https://www.blockdit.com/articles/5e909d06d05adc54fabd0fcb

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา