19 เม.ย. 2020 เวลา 03:15 • สุขภาพ
ทุกอย่างมีต้นเหตุ และ ผลลัพธ์... อยากให้ทุกคนได้อ่านบทความนี้ค่ะ :)
"สิ่งสำคัญที่มนุษย์ต้องทบทวนและเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ การเคารพธรรมชาติเท่ากับเคารพตัวเราเอง เมื่อทำได้ดังนั้นธรรมชาติก็จะให้ความเคารพมนุษย์เราเช่นกัน"
Cr. ภาพจาก pinterest.com
"วันทนา ศิวะ" นักฟิสิกส์ชาวอินเดียผู้กลายมาเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและอาหาร ให้แง่คิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "ไวรัส มนุษยชาติ และโลก" ไว้ว่า ไวรัสตัวเล็กจิ๋วๆ ทำให้โลกต้อง lockdown เศรษฐกิจทั่วโลกปิดฉาก ดับชีวิตคนเรือนแสน ตัดการทำมาหากินคนนับล้าน
โคโรน่าไวรัสบอกให้เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับตัวเองในฐานะมนุษย์ กระบวนทัศน์หลักทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี รวมทั้งโลก?
อันดับแรกสุด การ lockdown เตือนให้เราตระหนักว่าโลกมีไว้สำหรับทุกสปีชีส์ เมื่อเราถอยออกไป ทำให้ถนนปลอดรถราวิ่ง มลพิษในอากาศจึงลดลง ช้างจึงออกมาย่านชานเมืองและอาบในแม่น้ำคงคา เสือดาวออกมาเพ่นพ่านแถว Chandigarh
บทเรียนบทที่ 2 คือ โรคระบาดนี้ไม่ใช่ "ภัยธรรมชาติ" เช่นเดียวกับที่การแปรปรวนของสภาวะอากาศไม่ใช่ "ภัยธรรมชาติ" โรคระบาดอุบัติใหม่เกิดจาก "การกระทำของมนุษย์" เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ
วิทยาศาสตร์บอกกับเราว่า ขณะที่มนุษย์รุกรานระบบนิเวศในป่า ทำลายบ้านของสปีชีส์ต่างๆ เอาพืช-สัตว์มาสร้างผลกำไรนั้น เราสร้างเงื่อนไขให้เกิดโรคใหม่ๆขึ้นมา
50 ปีที่ผ่านมานี้มีจุลินทรีย์ก่อโรคใหม่ๆเกิดขึ้นมา 300 ชนิด 70% ของเชื้อก่อโรคในมนุษย์ ซึ่งรวมถึง HIV, อีโบล่า ไข้หวัดใหญ่ MERS และ SARS เกิดขึ้นมาเมื่อระบบนิเวศในป่าถูกรุกราน ไวรัสจึงกระโดดจากสัตว์มาที่คน เมื่อสัตว์แออัดกันอยู่ในฟาร์มโรงงานเพื่อผลกำไรสูงสุด โรคใหม่ๆอย่างหวัดหมู หวัดนก ก็แพร่กระจายสู่ผู้ก่อการรุกราน
ความโลภของมนุษย์ โดยขาดความเคารพต่อสิทธิของสปีชีส์อื่น หรือกระทั่งมนุษย์ด้วยกันเอง คือรากเหง้าของโรคระบาดครั้งนี้ รวมทั้งโรคที่จะระบาดในอนาคต เศรษฐกิจของโลกที่อยู่บนพื้นฐานของภาพลวงตาแห่งการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด แปลออกมาเป็นความกระหายอย่างไร้ขีดจำกัดต่อทรัพยากรโลก ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดอย่างไร้ขีดจำกัดต่อขอบเขตของโลก ขอบเขตของระบบนิเวศ และขอบเขตของสปีชีส์อีกต่อหนึ่ง
บทเรียนบทที่ 3 ซึ่งไวรัสปลุกให้เราตื่นขึ้นมารับรู้คือ ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเกี่ยวเนื่องกับภาวะฉุกเฉินแห่งการสูญพันธุ์และหดหายของสปีชีส์ เกี่ยวเนื่องกับภาวะฉุกเฉินด้านสภาวะอากาศ เมื่อเราเอายาพิษมาฆ่าแมลง ปราบศัตรูพืช วิกฤตการสูญพันธุ์จึงเลี่ยงไม่พ้น เมื่อเราเผาฟอสซิลคาร์บอน ซึ่งโลกใช้เวลากว่า 600 ล้านปีแปลงเป็นฟอสซิล
มนุษย์ก็ล่วงละเมิดขอบเขตของโลก ผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ วิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากมนุษย์ไม่ยุติการทำสงครามต่อโลกและสปีชีส์ต่างๆในโลกเช่นนี้ ในเวลาร้อยปีเราก็จะทำลายสภาวะที่เอื้อให้มนุษย์วิวัฒน์และอยู่รอดได้ไปเสียหมดสิ้น เราจะสูญพันธุ์ตามสปีชีส์อื่นๆ อีก 200 สปีชีส์ที่กำลังถูกย่ำยีให้สูญพันธุ์อยู่ทุกวันนี้ มนุษย์จะกลายเป็นอีกหนึ่งในล้านสปีชีส์ที่ถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์ เพราะความโลภ โอหัง และขาดความรับผิดชอบของมนุษย์
ภาวะฉุกเฉินที่เป็นอันตรายต่อชีวิตทั้งปวงในยุคสมัยของเรา มีรากเหง้ามาจากโลกทัศน์กลไกที่เน้นการใช้กำลังอำนาจ และยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง มองมนุษย์โดยแยกออกจากธรรมชาติ เป็นนายเหนือโลก เหนือทุกสิ่ง สามารถครอบครอง ควบคุม และนำสปีชีส์อื่นๆมาใช้เพื่อผลกำไรตามที่ต้องการได้
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีรากเหง้าอยู่ในโมเดลเศรษฐกิจที่เห็นขีดจำกัดทางนิเวศและจริยธรรมเป็นอุปสรรคซึ่งจะต้องกำจัดออกไป เพื่อขยายการเพิ่มพูนของผลกำไรอีกด้วย โมเดลแบบนี้ไม่คำนึงถึงสิทธิของสปีชีส์อื่น สิทธิของมนุษย์ และสิทธิของเผ่าพันธุ์รุ่นหลังเลย
Cr. ภาพจาก wallhere.com
ระหว่างวิกฤตครั้งนี้ ตลอดจนการฟื้นตัวภายหลังการ lockdown เราจะต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องโลก ระบบภูมิอากาศของโลก สิทธิและพื้นที่ทางนิเวศของสปีชีส์อื่นๆ ชนพื้นเมือง สตรี กสิกร และคนงาน
เราจะต้องเปลี่ยนจากเศษฐกิจแห่งความละโมบและการเติบโตอย่างไม่มีขีด
จำกัด ซึ่งผลักเราไปสู่วิกฤตแห่งการดำรงชีวิต เราจะต้องตื่นขึ้นรับรู้ความจริงว่า เราเป็นสมาชิก "ครอบครัวโลก" และเศรษฐกิจที่แท้คือ "เศรษฐกิจแห่งความเอาใจใส่ดูแล" ทั้งต่อโลกและต่อทุกสปีชีส์ด้วย
การที่จะหลีกเลี่ยงโรคระบาดในอนาคต ความอดอยากแร้นแค้นในอนาคต และความเป็นไปได้ที่จะมีคนพวกที่ไม่ต้องคำนึงถึงได้ เราจะต้องก้าวให้พ้นจากระบบเศรษฐกิจที่กลายเป็นอุตสาหกรรมไปหมดและแผ่ไปครอบทั่วทั้งโลก ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ทำลายสปีชีส์ต่างๆจนสูญพันธุ์ และทำให้โรคที่คุกคามชีวิตแพร่ระบาด การจำกัดวงอยู่ตามท้องถิ่นจะเปิดให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเศรษฐกิจท้องถิ่นรุ่งเรือง
เราจะต้องลดรอยเท้านิเวศลงอย่างตระหนักรู้ เพื่อจะได้เหลือทรัพยากรและพื้นที่ทางนิเวศให้สปีชีส์อื่นๆ มนุษย์ทั้งมวล และชนรุ่นหลัง ภาวะฉุกเฉินด้าน
สุขภาพและการ lockdown แสดงให้เห็นแล้วว่า เมื่อมีเจตจำนงทางการเมือง เราสามารถเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นขึ้นได้ เรามาทำให้การเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นนี้สามารถ ทำเป็นเรื่องถาวรกันได้
ประสบการณ์จากนวธัญญะสอนเรามากว่า 3 ทศวรรษแล้วว่า ระบบอาหารอินทรีย์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพจากท้องถิ่น ช่วยให้ทุกคนมีอาหารที่ถูกสุขลักษณะ พร้อมกับชุบชีวิตให้ผืนดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่งคั่งหลากหลายทางชีวภาพในป่า ไร่นา อาหารของเรา microbiome ของเรา เชื่อมโยงโลก สปีชีส์ที่หลากหลายในโลก รวมทั้งมนุษย์ ด้วยสุขภาวะ แทนที่จะเป็นโรคภัย
Cr. ภาพจาก businessinsider.sg
ไวรัสจิ๋ว ๆ สามารถช่วยให้เราก้าวกระโดดเพื่อสร้างอารยธรรมโลกและระบบนิเวศที่อยู่บนฐานของความกลมกลืนกับธรรมชาติได้ หรือไม่เราก็อยู่ต่อไปในมายาแห่งการพิชิตธรรมชาติ และเคลื่อนรุดหน้าอย่างเร่งรีบไปสู่
โรคระบาดต่อไป
แล้วจากนั้นก็ก้าวไปสู่ความดับสูญสิ้น โลกจะยังคงวิวัฒน์ต่อไป ไม่ว่าจะมีมนุษย์เราหรือไม่ก็ตาม
เรียบเรียง : Do it your health
#Doityourhealth #Thetruth #waldorfway #Covid19
โฆษณา