21 เม.ย. 2020 เวลา 08:31 • ความคิดเห็น
สหรัฐอเมริกา: ดินแดนแห่งไวรัส
เมื่อ Covid-19 เกิดขึ้นครั้งแรกในอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ บอกว่า ภายในเดือนเมษายนมันจะ "หายไปอย่างน่าอัศจรรย์" แต่..
แต่ในความเป็นจริง ณ สิ้นเดือนมีนาคมสหรัฐอเมริกากลายเป็นพื้นที่แพร่ระบาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และตอนนี้ได้กลายก็เป็นพื้นที่อันตรายที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 760,000 รายและผู้เสียชีวิตกว่า 40,000 ราย
...
ข้อมูลล่าสุด ใต้บทความ
ย้อนกลับไป ณ.วันเริ่มต้น
วันที่ 2 มกราคม Robert Redfield ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ได้ติดต่อกับสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศจีนเกี่ยวกับ "โรคทางเดินหายใจลึกลับ"
หลังจากนั้น 10 วันต่อมา จีนบันทึกผู้เสียชีวิตครั้งแรก
จากนั้นโคโรนาไวรัส ชื่อในตอนนั้น ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
วันที่ 21 มกราคม
สหรัฐบันทึกผู้ติดเชื้อคนแรก ไม่กี่วันต่อมาประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ตั้งหน่วยพิเศษเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด
อย่างไรก็ตาม เขายังยืนยันว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม
30 มกราคม
องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าโรคนี้เป็นเงื่อนไขทางการแพทย์ฉุกเฉินระดับโลก
ทรัมป์ยังให้ความมั่นใจแก่ประชาชนว่า รัฐบาล "ควบคุมได้ดีมาก"
7 กุมภาพันธ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไมค์ ปอมเปโอ กล่าวว่า ทางสหรัฐฯได้ส่งหน้ากากอนามัย ชุดแพทย์และเวชภัณฑ์อื่น ๆ ไปยังจีนเกือบ 18 ตัน
สหรัฐอเมริกาเพิ่งเริ่มตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาในปลายเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ
วันที่ 25 กุมภาพันธ์
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้ออกมาเตือนว่าเชื้อ Covid-19 กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วภายในประเทศ และจำเป็นต้องใช้มาตรการสนับสนุนเพื่อลดการระบาด ซึ่งคาดว่าส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คน และรวมถึงการปิดโรงเรียน สถานที่และภาคธุรกิจ
วันที่ 26 กุมภาพันธ์
ทรัมป์ได้แต่งตั้งรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์
ทำหน้าที่ดูแลรับมือการระบาดของ Covid-19
และคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯจะลดลงเหลือศูนย์
แต่สถานการณ์จริงนั้นตรงกันข้ามค่ะ
ต้นเดือนมีนาคม สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อมากกว่า 1,000 ราย และประกาศให้ Covid-19 เป็นโรคระบาด
ถ้าจำกันได้ ในวันที่ 9 มีนาคม เกิดผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ปรับตัวลดลง จนต้องทำการหยุดการซื้อขายเป็นเวลา 15 นาที
กลางเดือนมีนาคม
Royal University of London ได้ตีพิมพ์รายงานพร้อมข้อสรุปว่า..
หากสหรัฐอเมริกาไม่มีการควบคุม Covid-19 แล้ว อาจทำให้ประชาชนอเมริกา 2.2 ล้านคนเสียชีวิต
13 มีนาคม
รัฐบาลทรัมป์ เพิ่งได้เริ่มประกาศใช้มาตรการที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นเวลาเกือบหกสัปดาห์หลังจากที่ WHO ประกาศภาวะฉุกเฉินของสุขภาพทั่วโลก
ประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศ "ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ" สามวันต่อมา รัฐบาลเริ่มนำ "การแยกชุมชน" และ การรักษาระยะห่างทางสังคมทั่วประเทศ
ในสหรัฐฯ เวลานั้นมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 2,200 คน
และมีผู้เสียชีวิตเกือบ 50 คน
ต้นเดือนมีนาคม รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งหน้ากากถุงมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังรัฐวอชิงตันซึ่งเป็นจุดแรกที่มีการระบาด
เวลานั้นมีรายงานจากหน่วยงานท้องถิ่นว่า
ปริมาณของวัสดุนี้ไม่เพียงพอ และมีบางส่วนล้าสมัย
จากต้นเดือนที่รัฐวอชิงตัน ผ่านไปไม่นาน
นิวยอร์ก ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดของโรค และพุ่งทะยานขึ้นจนมีผู้ติดเชื้อสูงกว่าประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับสองของโลกอย่างสเปน
โรงพยาบาลที่นิวยอร์ก ขนัดไปด้วยผู้ป่วย จนต้องมีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นหลายแห่ง มีการขอความช่วยเหลือจากกองทัพ
เกิดความโกลาหลในการจัดการท่ามกลางความขาดแคลนอย่างหนัก บรรดาแพทย์ขาดอุปกรณ์ป้องกัน มีศพผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การมุ่งจะปกป้องเศรษฐกิจทำให้ไม่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาด
จนทำให้สหรัฐกลายเป็นเขตแพร่ระบาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Robert Redfield ประธาน CDC ศูนย์ควบคุมโรคระบาดสหรัฐ 📷 nypost
เผยเบื้องหลังความล่าช้าในการตอบโต้กับการระบาด
ปัญหาการระบาดของ Covid-19 ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในการประชุมข่าวกรองหลายครั้งในเดือนมกราคม
แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนอย่างเต็มที่
จนกระทั่ง อเล็ค อาซาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ โทรหาขณะที่ประธานาธิบดีอยู่ที่รีสอร์ท Mar-a-Lago รัฐฟลอริดา
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า เวลานั้นทรัมป์ยังไม่เข้าใจระดับการคุกคามของ Covid-19 อย่างเต็มที่
Alex Azar รมต. สาธารณสุขอเมริกา 📷 Politico
วันที่ 29 มกราคม ปีเตอร์ นาวาร์ที่ปรึกษาอาวุโสทำเนียบขาว ได้ทำนายผลกระทบบางอย่างที่สหรัฐอเมริกาเผชิญจาก Covid-19 อย่างถูกต้อง
แต่นาวาร์ มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับจีน
ดังนั้นคำเตือนของเขาจึงถูกเพิกเฉยและไม่ถึงประธานาธิบดี
วันที่ 26 กุมภาพันธ์
หลังเสร็จสิ้นการเดินทางกลับจากอินเดีย ทรัมป์เริ่มตระหนักถึงความรุนแรงของโรค เวลานั้นประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับไม่ได้นอนระหว่างเที่ยวบิน 18 ชั่วโมงจากอินเดียไปยังสหรัฐอเมริกา
...
น่าสงสารจริงๆ!!
ทรัมป์ใช้เวลาทั้งหมดติดตามสถานการณ์ข่าวเกี่ยวกับโรคนี้
ไม่กี่นาทีหลังจากเครื่องลงจอด
ทรัมป์ตัดสินใจเป็นประธานในการแถลงข่าวเกี่ยวกับ Covid-19 เอง
📌 ทรัมป์รายวัน จึงถือกำเนิด นับแต่นั้นมาค่ะ
โดยก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวมอบหมายหน้าที่แถลงข่าวให้รองประธานาธิบดีเพนซ์
แต่หลังจากนั้น ทรัมป์จะเป็นคนแถลงข่าวประจำวันเกี่ยวกับ Covid-19 ทุกวัน
24 Feb Trump Modi ที่ อินเดีย 📷 the guardian
หลังจากนั้น โลกก็เริ่มสนุกขึ้นค่ะ ทั้งเรื่องไวรัสจีน ทั้งเรื่องข้อขัดแย้งกับองค์การอนามัยโลก การประกาศตัดงบสนับสนุน WHO และอะไรต่อมิอะไร เอาที่ทรัมป์สบายใจ
ไหนๆก็เลี้ยวมาที่ WHO แล้ว ก็ต่ออีกหน่อยตามข้อมูลในมือนะคะ
ในวันที่ 31 ธันวาคม2562 ทางไต้หวันได้เตือนไปยัง WHO ถึงความเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัส Covid-19 จะถูกส่งต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง
แต่เวลานั้นดูเหมือนว่าใครจะไม่สนใจ
วันที่ 20 มกราคม ประเทศจีนยอมรับว่าไวรัสสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คน
แต่ทางองค์การอนามัยโลกก็รั้งรอจนถึงวันที่ 30 มกราคม ทางองค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุขออกมา
ข้อมูลตรงนี้ ถูกทางวิพากษ์วิจารณ์ว่า WHO เชื่อข้อมูลและฟังความจากจีนมากเกินไป
เต้าหน้าที่ทำเนียบข่าว สรุปสั้นๆชัดๆว่า
"ข้อมูลที่ได้จากจีน
ทำให้โลกมีความเชื่อผิดๆ
โดยเชื่อว่า Covid-19 สามารถควบคุม
ได้ง่ายกว่าที่เป็นจริง"
...
มาถึงตรงนี้ สหรัฐอเมริกา โทษ WHO โทษจีนค่ะ
แล้วทำไมสหรัฐอเมริกาไม่โทษตัวเองบ้าง?
ก่อนหน้านี้เพจเคยทำบทความรับใช้ไปเรื่อง ความผิดพลาดในการรับมือของสหรัฐฯ วิเคราะห์จุดอ่อนในการรับมือ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเรื่อง "ทำไมสหรัฐอเมริกาจึงเป็นพื้นที่ที่ระบาดมากที่สุดในโลก"
ลองอ่านประกอบดูนะคะ
เพิ่มเติมให้อีกหน่อยค่ะว่า
ในช่วงแรกของการระบาด สหรัฐอเมริกามีความผิดพลาดในการต่อสู้กับโรคระบาดเนื่องจาก
- การทดสอบคัดกรองที่ไม่ดีในช่วงแรกของการระบาด โดยก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ ทางศูนย์ควบคุมโรค หรือ CDC ได้พัฒนาและแจกจ่ายชุดทดสอบไปทั่วสหรัฐอเมริกา แต่ชุดทดสอบไม่มีประสิทธิภาพล้มเหลว
ทาง CDC มีความล่าช้าในการจัดหาผลิตภัณฑ์ทดแทน
ในเวลานั้น รัฐบาลปฏิเสธการแก้ไขกฎหมายที่อนุญาตให้ทางรัฐและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สามารถพัฒนาชุดทดสอบของตนเอง
เมื่อขั้นตอนแรกล่าสุด ขั้นตอนต่อมาก็แทบไม่ต้องพูดถึง
ของฝากจากเมืองจีน ดูสองตัวท้ายคำว่า virus ค่ะ
- การตรวจ ไม่คลอบคลุมผู้ติดเชื้อ
มาถึงขั้นที่สองกัน มีชุดตรวจแล้ว แต่สหรัฐอเมริกายังตรวจสอบคัดกรองน้อยมาก มีการตรวจในช่วงแรกๆเฉพาะเคสที่เดินทาง หรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลในประเทศกลุ่มเสี่ยง
- โครงสร้างอำนาจที่ซับซ้อน
ระบบสหพันธรัฐของสหรัฐอเมริกาจะมีอำนาจจัดสรรให้กับ 50 รัฐ ในการรับมือกับวิกฤติของประเทศ แต่ละรัฐไม่ได้มีการดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน หรือพร้อมเพรียงกัน
ผู้ว่าการรัฐบางแห่งก็ปฏิเสธการปิดล้อม โดยให้เหตุผลถึงความสำคัญด้านเศรษฐกิจ รวมถึงไม่มีความจริงจังนักในการบังคับเรื่องการปกป้องสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่นการสวมใส่หน้ากากอนามัย
หรือการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล
ซึ่งปัจจัยนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศในเอเชียสามารถยับยั้งการระบาดได้ดีกว่าประเทศตะวันตกคือ
การใช้หน้ากากอนามัยอย่างกว้างขวาง
ถ้าจำกันได้ ในช่วงเริ่มแรกบรรดาผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตก คิดว่าหน้ากากไม่มีประสิทธิภาพในการปกป้องผู้สวมใส่
แม้แต่ทาง CDC ก็ยังแนะนำว่า หน้ากากอนามัยควรมีเพียงคนป่วยและผู้ดูแลเท่านั้นที่ควรใช้
...
วันนี้ ก็เห็นกันแล้ว ไม่ต้องไปซ้ำเติม
สถิติที่น่ากลัวคือ
Covid-19 ฆ่าคนอเมริกันมากกว่า 1,800 คนต่อวันโดยเฉลี่ย ตัวเลขนี้ยังเพิ่มขึ้นอีกค่ะ
เมื่อเปรียบเทียบกับโรคอื่นๆ
โรคหัวใจคร่าชีวิตชาวอเมริกันโดยเฉลี่ย 1,774 คนต่อวัน
และมะเร็งก็คร่าชีวิตชาวอเมริกันไป 1,641 คนต่อวัน
สถานการณ์ล่าสุด
สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อ 792,938 ราย
เสียชีวิต 42,518 ราย
รัฐที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด
1. นิวยอร์ก 252,094 เสียชีวิต 18,929
2. นิวเจอร์ซี่ 88,806 เสียชีวิต 4,377
3. แมสซาชูเซตส์ 39,643 เสียชีวิต 1,809
สถานการณ์โดยรวม
มีแนวโน้มการระบาดลดลง ถ้าเทียบแบบสถิตินะ
แต่ตัวเลขโดยรวมยังสูงอยู่ดี
📌 we will get thru this จากรูปปกบทความ
มาจาก we will get through this together
เราจะผ่านสิ่งนี้ไปด้วยกัน
ขอเป็นกำลังใจให้ชาวอเมริกา
รวมถึงชาวไทยทุกคนนะคะ
...
เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
รวบรวมและย่อยจากแหล่งข่าว
Routers , Al Jazeera , AFP , BBC , CNN
เรียบเรียงโดย
สาระอัปเดต
21/04/2020

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา