22 เม.ย. 2020 เวลา 05:46 • การเมือง
นายก "ลุงตู่" นายกผู้ซวยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย...
...ซวย คือ โชคร้ายนะครับ ไม่ได้ว่าแกเฮงซวย ทำความเข้าใจก่อน เดี๋ยวกองเชียร์จะด่าผม...
คนไม่ชอบก็บอกว่าเป็นเวรกรรมที่เคยทำกับคนอื่น
คนชอบก็ยังให้กำลังใจ
...ก็ว่ากันไปตามความชอบครับ...
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นตรงกัน คือแกโคตรซวยเลย
ในทางการเมือง ตลอดเวลาที่แกนั่งเป็นนายกมาตั้งแต่รัฐประหาร แกก็ต้องเจอแรงต้านจากคนมากกว่าครึ่งประเทศมาตลอด
ทำอะไรก็โดนด่าหมด เพราะคนคลั่งกีฬาสีมากเกินไป
เรื่องดีก็ยังเอามาด่าได้เหมือนกัน
แถมคนรอบตัวก็ยังพาให้โดนด่าอยู่ตลอด
ทุกวันนี้มีปัญหาคุมพรรคร่วมรัฐบาลไม่อยู่เสียอีก
...กับเรื่องการเมืองภายในนี่ จะว่าแกซวยก็ใช่ จะว่าไม่มีฝีมือเอาไม่อยู่ก็ใช่เหมือนกัน...
...แต่แค่นั้นยังจิ๊บๆ...
ที่ซวยลำดับต่อมาคือเรื่องความมั่นคง...
จริงแหละที่มันไม่มีสงครามอะไร
แต่แกมาในภาวะที่จีนกำลังแผ่อิทธิพล ทำให้แกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากๆ ระหว่างจีนและตะวันตก
จากการรัฐประหาร ตัวแกและรัฐบาลของแกไม่ได้รับการยอมรับมากนักจากตะวันตก ทำให้ต้องเอนไปทางจีนอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่ตามมาคือการพึ่งพาจีนมากจนเกินไปในทุกทาง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลยในแง่ความมั่นคง
แม้ว่าจีนจะไม่ได้เข้ามาแบบใช้กำลังทหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จีนมีผลต่อการตัดสินใจเหนือรัฐบาลลุงในหลายเรื่อง
...และนั่น ทำให้ไทยในสายตาตะวันตก รวมถึงมิตรเก่าอย่างญี่ปุ่นดูแย่ลงไปอีก...
ในขณะเดียวกัน ความมั่นคงภายใน ก็ไม่ใช่ว่าดี
เพราะการสื่อสารที่รวดเร็ว และง่าย ทำให้แนวคิดเสรีนิยมนั้นแพร่หลายมากขึ้นในหมู่คนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีแนวคิดทางศาสนาแบบสุดโต่งบางอย่างเข้ามาด้วย อันนี้จะชัดเจนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
...การเข้ามาของแนวคิดใหม่ๆนี้ มีผลมากกับความมั่นคงภายในแบบอนุรักษ์นิยม ที่ตัวรัฐบาลพยายามชูเป็นพันธะที่ตัวเองต้องทำให้ได้มาตลอด....
แม้วันนี้จะยังไม่มีความรุนแรง แต่ การที่แนวคิดมันเข้ามา และยึดครองใจของคนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ใช่น้อยไปแล้ว การจะเปลี่ยนแปลงความคิดคนมันจึงไม่ง่าย
เราจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่จำนวนมากมีท่าทีอย่างไรต่อค่านิยมแบบดั้งเดิม มันชัดเจนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
...เช่นเดียวกับแนวคิดทางศาสนาบางอย่างซึ่งก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนกัน...
ถ้าเรามองว่าการรักษาค่านิยมดั้งเดิม และความเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียว ที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
...ก็ต้องบอกว่า รัฐบาลของนายกลุงนี่แหละกำลังเผชิญความท้าทายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย...
...มากกว่า 6 หรือ 14 ตุลาซะอีก ...
ถามว่าวิกฤติเดือนตุลาคมทั้งสองครั้ง กับปัจจุบัน ช่วงไหนมีคนอยากลบค่านิยมเก่ามากกว่า ?
มันก็ชัดเจนว่าต้องเป็นปัจจุบัน เราเห็นได้ชัดกับการที่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก เลือกพรรคการเมืองที่มีท่าทีชัดเจนว่าไม่เอาค่านิยมแบบเก่า
ถ้าดูความเป็นจริงแล้ว แบบนี้น่ากลัวกว่าม็อบมาก
...ลองคิดดูว่าคนรุ่นใหม่มีแต่มากขึ้น แต่สายอนุรักษ์นิยมมีแต่จะตายไป นั่นทำให้เสียงในการเลือกตั้งมันจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในแง่ความต้องการการเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลาผ่านไป
ใจคนนั้นยากจะเปลี่ยน ...
นายกลุงจึงซวยมากในการที่ต้องเข้ามาในช่วง กระแสของความเปลี่ยนแปลงแบบนี้
...หากวันนึงเกิดความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะไปทางไหน นายกลุงก็หนีไม่พ้นคำว่า "ทรราชย์" อยู่ดีนั่นแหละ อยู่ที่ใครจะเป็นผู้เรียกเท่านั้น...
และซวยมหาซวยที่สุดก็คือเรื่องเศรษฐกิจ...
เอาแค่เศรษฐกิจภายใน เรื่องราคาพืชผลก็แย่แล้ว
ดันต้องมาเจอทั้งสงครามการค้า และโรคระบาดเข้าไปอีก
ตัวแกก็ไม่ใช่นักธุรกิจหรือนักการเงินอยู่แล้ว ภาวะไปไม่เป็นมันจึงบังเกิด
...ที่จริงกรอนโควิด เศรษฐกิจไทยมันก็ไม่ดีนักอยู่แล้ว จากผลของสงครามการค้า และความตกต่ำของราคาพืชผล
...พอมีโควิดมาซ้ำเข้าไป ก็ยิ่งสาหัส...
ประชาชนไทยมีความพร้อมรับมือน้อยในแง่การเงินอยู่แล้ว
...คนจนนั้นจนอยู่แล้ว...
...คนรุ่นใหม่แม้ได้เงินเยอะ แต่มีพฤติกรรมการใช้ที่ค่อนข้างไม่เซฟตัวเอง...
...คนทำธุรกิจก็อยู่ในสภาพที่ไม่ดีนักใช่ช่วงกีอนโควิด...
...ทำให้คนที่ยังรอดอยู่ทุกวันนี้ก็คือคนที่พอมีเงินเก็บ หรือบ้านมีฐานะเท่านั้นแหละ...
เชื่อว่าตอนนี้รัฐบาลลำบากใจมากเกี่ยวกับทิศทางที่จะรับมือโรคระบาด ในระยะต่อไปไปจากนี้
...จะเปิดงาน ก็กลัวโรคระบาดซ้ำ ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นและไม่มีกำลังพอจะช่วยอีกแล้ว...
...หรือจะปิดต่อ ก็ไม่มีปัญญาอุ้มประชาชนเหมือนกัน...
...จะทั้งอุ้มทั้งปิด เกิดตังหมด จะกู้ก็โดนด่าอีก...
เป็นอะไรที่ยากมากๆ และไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็โดนด่าแน่ๆ
...ซวยสุดๆ ไปเลย...
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองที่เนื้องานในการรับมือกับโควิด
...ส่วนตัวผมให้ B+ นะ ....
ในส่วนการควบคุมโรคต้องบอกว่าทำได้ดี แต่นั่นก็ต้องชมพวกคุณหมอ คุณพยาบาลทั้งหลายด้วย
ในส่วนการเยียวยา โอเคแหละว่ามันมีปัญหา แต่โดยรวม มันก็สร้างความมั่นใจได้ระดับหนึ่ง ส่วนนี้ถือว่าสอบผ่านเหมือนกัน แต่ฉิวเฉียด ซึ่งมันอาจเป็นผลมาจากปัญหาระบบราชการเอง มากกว่าตัวมาตรการของรัฐบาล
แต่ส่วนที่ดูจะไม่ดีนัก คือ การเตรียมการออกจากปัญหา
ทุกวันนี้รัฐบาลยังฟังคุณหมอเป็นหลัก
และแน่นอนว่าคุณหมอยังตั้งโจทย์ว่า "ไม่มีผู้ติดเชื้อ" หรือ "มีน้อยที่สุด"
...ในเงื่อนไขของการ "ปิดเมือง"....
ซึ่งมันเป็นการทำงานแบบตั้งรับ และจะทำตลอดไปไม่ได้
...ถ้าหากยังทำแบบนี้ต่อไป ผมว่ารัฐบาลจะเจองานยากขึ้นเรื่อยๆ ...
การกดดันจากภาคธุรกิจ และภาคแรงงานจะมากขึ้นเรื่อยๆ เงินก็น้อยลงเรื่อยๆ จะทำอย่างไร?
...ล่าสุดเห็นมีข่าวว่าให้ผู้ประกอบการทำแผนมาว่าจะปิดเปิดกิจการอย่างไรให้ปลอดภัย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ถึงจะช้าไปหน่อยก็ตาม...
ที่หลือคือความกล้าที่จะยอมรับความจริง ว่าเราอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ แล้วรีบตัดสินใจซะ
...ยิ่งยื้อยิ่งมีปัญหาแน่นอน ....
จากปัญหาทุกอย่างที่รุมเข้ามา มันคงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่านายกลุงซวยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ซวยกว่านายกในภาวะสงครามโลกเสียอีก สมัยนั้นความกดดันน้อยกว่านี้มาก แถมนายกตอนนั้นก็เหมือนอยู่ในภาวะจำยอม ซึ่งทุกคนเข้าใจ จึงไม่มีใครตำหนินัก
แต่ความซายทั้งหลายแหล่นี่แหละ มันอาจทำให้ท่านเป็นรัฐบุรุษได้ ถ้าทำงานได้ดี
...สถานการณ์สร้างวีรบุรุษและไอ้ขี้แพ้
...ท่านจะฉวยโอกาสทางไหน ก็เท่านั้นแหละ...
โฆษณา