22 เม.ย. 2020 เวลา 08:45 • การศึกษา
"ในหลวงรัชกาลที่9" ในความทรงจำ... เรื่องเล่าจาก "นักข่าวต่างชาติ"
เรื่องเล่าจากความทรงจำของผู้สื่อข่าวต่างชาติที่เคยเข้าเฝ้าฯ "ในหลวงรัชกาลที่9" และได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราวอันทรงคุณค่ายิ่ง
ในฐานะที่เป็นนักข่าวต่างชาติ ความรับรู้ที่มีต่อพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยอาจแตกต่างออกไปจากประชาชนคนไทยทั่วไป เพราะไม่ได้ผ่านประสบการณ์ตรงหรือความผูกพันในฐานะคนในชาติ แต่มาจากการอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศ และติดตามพระราชกรณียกิจของพระองค์ ผู้ยังทรงดำเนินบทบาทของธรรมราชา อันเป็นแบบอย่างอันดีตามหลักของพระพุทธศาสนาที่ธำรงมานาน 800 ปี
ทว่าสำหรับ "เดนนิส ดี เกรย์" ผู้สื่อข่าวอาวุโสของสำนักข่าวเอพีซึ่งทำข่าวในไทยและประเทศโดยรอบมานานกว่า 40 ปี การได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับกลุ่มผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่พระตำหนักจิตรลดาฯ เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมงเมื่อปี 2551 ทำให้มุมมองและการรับรู้ที่มีต่อพระมหากษัตริย์ของไทยเปลี่ยนไป
เกรย์ได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อการเข้าเฝ้าฯ ในครั้งนั้นว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดสูทแบบตะวันตก ทรงประทับอย่างผ่อนคลายพระอิริยาบถบนพระเก้าอี้ และทรงแย้ม พระสรวลให้ พระองค์ดูจะทรงยินดีกับการสนทนาอันหลักแหลมกับกลุ่มนักข่าวต่างประเทศกลุ่มเล็กในครั้งนี้
บรรยากาศและภาษาในบทสนทนาครั้งนั้นต่างออกไปจากพระราชดำรัสตามปกติ เกรย์ ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มักจะทรงคั่นระหว่างมีพระราชปฏิสันถารด้วยเรื่องเล่าที่ออกรสและเรื่องขำขันโดยภาษาอังกฤษอย่างไร้ที่ติ มีพระราชปฏิสันถารเรื่องดนตรีแจ๊ซ พระราชวงศ์ การมีพระชันษามากขึ้น เหล่าสุนัขทรงเลี้ยงตัวโปรด กีฬากอล์ฟ ไปจนถึงเรื่องเขื่อน
เกรย์ถ่ายทอดเรื่องราวของค่ำคืนที่ยังจดจำได้ดีมาจนถึงวันนี้แม้ผ่านมา 8 ปีแล้วว่า รับรู้ได้ถึงอีกด้านของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ไม่ถือพระองค์และทรงเข้ากับยุคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ทรงมีพระอารมณ์ขัน ทรงมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และทรงผสานความเป็นตะวันตกเข้ากับความเป็นไทยพุทธได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาจเป็นเพราะการถ่ายทอดมาจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
“แม่ของเราจะชมเมื่อเราทำบางอย่างที่ดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็บอกเราว่า อย่าลอยนะ เหมือนกับท่านใส่เราเข้าไปในลูกบอลลูน แล้วค่อยเจาะลูกบอล” พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะมีพระราชปฏิสันถารกับ เดนนิส ดี เกรย์ เมื่อครั้งปี 2525
ทว่า เกรย์ยังรับรู้ได้ถึงความไม่สำราญพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ซึ่งคุณค่าทางจริยธรรมลดลง แต่เปิดรับการเห็นแก่ตัวเองเป็นที่ตั้ง และค่านิยมที่มองการหิวกระหายเป็นเรื่องดี ซึ่งพระองค์ทรงเคยส่งสัญญาณทางอ้อมเรื่องนี้ในพระราชดำรัสที่มีต่อประชาชนในบางโอกาส
ผู้สื่อข่าวอาวุโสของเอพี ระบุว่า ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1970 ที่มีโอกาสได้ติดตามพระองค์ท่านเป็นครั้งแรกไปทำข่าวพระราชกรณียกิจในไทย ตั้งแต่พื้นที่ภูเขาในภาคเหนือ นาข้าวของภาคอีสาน ไปจนถึงชุมชนชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในเวลานั้น ประชากรชาวไทยถึงราว 80% ยังกระจายตัวตามพื้นที่ชนบททั่วประเทศ โดยประเทศไทยก็ยังไม่ได้เป็นขุมพลังใหม่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมพลวัตของโลก และเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนดังเช่นปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ทศวรรษ 1970 เป็นทศวรรษสุดท้ายของไทยในยุคสมัยเดิมที่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม หมู่บ้านที่งดงาม และความยากจนที่ปกคลุมไปทั่ว
ทว่าในขณะเดียวกันก็ยังเป็นทศวรรษแห่งการริเริ่มสร้างประเทศใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีพระราชดำริและทรงเฝ้าติดตามเป็นการส่วนพระองค์ในโครงการต่างๆ ตั้งแต่สาธารณสุข การศึกษา การลดความยากจน การบริหารจัดการน้ำ และการขจัดการปลูกฝิ่น
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายนี้ ระบุด้วยว่า พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงมากขณะมีพระชนมพรรษาในช่วงวัย 40 พรรษา โดยจะทรงวิ่งออกกำลังกายวันละ 3 กิโลเมตร ตามด้วยการวิดพื้น ในขณะที่เกรย์สามารถลดน้ำหนักลงได้มากด้วยการติดตามพระองค์ไปในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามพื้นที่เขาสูงลาดชัน โดยในครั้งหนึ่งระหว่างที่เสด็จฯ เยือนสถานีทดลองแปลงเกษตรใน จ.เชียงใหม่ พระองค์ทรงทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อยจนถึงตี 2 ของวันถัดไป
“พวกเขาบอกว่าอาณาจักรก็เป็นเหมือนกับพีระมิด มีพระมหากษัตริย์อยู่บนยอดสุด และประชาชนอยู่ข้างล่าง แต่ที่ประเทศนี้กลับหัวกัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบางครั้งเราถึงปวดบริเวณแถวๆ นี้” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแย้มพระสรวลกว้างและชี้ไปที่พระอังสา (ไหล่) ของพระองค์ ขณะมีพระราชดำรัสต่อเกรย์
ด้าน "เนอร์มัล โกช" ผู้สื่อข่าวอาวุโสและหัวหน้าข่าวภาคพื้นอินโดจีนของหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ ในสิงคโปร์ ในฐานะประธานสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (เอฟซีซีที) ตั้งแต่ปี 2008-2012 เขาได้ร่วมกับนักข่าวต่างชาติ กลุ่มหนึ่งเข้าเฝ้าฯ รอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อปี 2008 และทำให้ได้รับทราบอีกมุมมองหนึ่งต่อพระมหากษัตริย์ของไทย
โกช เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีความยินดีที่ได้พบกับกลุ่มนักข่าวต่างชาติ และได้ร่วมสนทนากันนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยในระหว่างการสนทนาครั้งนั้น พระองค์ทรงถ่ายทอดถึงความสนพระทัยในดนตรี เรื่องสิ่งแวดล้อม และเรื่องในพระราชวงศ์อย่างเปิดเผย พระองค์ทรงเล่าด้วยอารมณ์ขัน ซึ่งทำให้ผู้ฟังต้องพากันหัวเราะ
ในการเข้าเฝ้าฯ ครั้งนั้น พระองค์ยังตรัสถามด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ หลังเห็นว่าตนบาดเจ็บที่ขาจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา 81 พรรษา ในขณะนั้น ซึ่งแก่กว่าพ่อของผมไม่กี่ปี พระองค์ได้ตรัสถึงเรื่องการสูญเสียค่านิยมดั้งเดิมบางอย่างในสังคมไทย ไปจนถึงเรื่องป่าไม้ การสร้างเขื่อน และสนามกอล์ฟ ทำให้ผมนึกถึงพ่อของตัวเอง” โกช ระบุ
โฆษณา