จากความสำเร็จทั้งหมดนี้อาจดูเหมือนว่า Catenaccio สมัยใหม่ที่นำโดยโชเซ่ มูรินโญ่นั้นกำลังจะนำปรัชญาของเอร์เรร่ากลับมาครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง แต่แล้วก็เหมือนฝันสลายเพราะช่วงเวลาของมูรินโญ่ที่อิตาลีนั้นช่างสั้นนักโดยมูรินโญ่ได้ตัดสินใจทิ้งอินเตอร์ชุดแชมป์ยุโรปของเขาเพื่อเลือกเส้นทางที่ท้าทายยิ่งกว่า นั่นก็คือการมุ่งหน้าไปคุมทีมยักษ์ใหญ่ในสเปนอย่างเรอัล มาดริด ซึ่งมีบาร์เซโลน่า คู่ปรับตัวฉกาจที่อยู่ภายใต้การคุมทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปรมาจารณ์แห่งปรัชญา Tiki Taka (วิวัฒนาการมาจาก Total Football) ที่เป็นเหมือนก้างขวางคอชิ้นโตของมูรินโญ่ในการครองความยิ่งใหญ่นั่นเอง
ศึกการดวลกันระหว่างสองปรัชญาสองกุนซือนั้นจบลงโดยผู้ชนะเป็นฝ่าย Tiki Taka ของเป๊ปที่พาบาร์เซโลน่าครองความยิ่งใหญ่ได้สำเร็จทั้งในประเทศและในยุโรป สวนทางกับมูรินโญ่ที่นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็นแล้วยังประสบปัญหาภายในกับลูกทีมของตนเองจนต้องเก็บข้าวของย้ายออกไปในที่สุด และที่ต่อไปของเขาก็ไม่ใช่ที่อื่นใดซึ่งนั่นก็คือเชลซี ทีมที่เขาเคยจากมาอย่างตำนานนั่นเอง
ในช่วงทศวรรษ2010 นั้น Catenaccio สมัยใหม่ได้วิวัฒนาการอีกครั้งกลายเป็นสไตล์ Park the Bus ที่ถูกใช้อย่างได้ประสิทธิภาพในเวลาต้องเผชิญกับทีมที่เหนือกว่า สไตล์นี้ถูกใช้จนประสบความสำเร็จโดยโรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอสมัยคุมเชลซีชุดแชมป์ยุโรปในฤดูกาล2011-12 และโชเซ่ มูรินโญ่ สมัยคุมเชลซีรอบสองชุดคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล2014-15
แต่ทว่าที่จริงแล้วสไตล์นี้ถูกคิดค้นโดยมูรินโญ่ในสมัยคุมอินเตอร์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นอย่างเป็นทางการสักเท่าไหร่โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเกมรอบรองชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาล 2009-10 ที่พบกับบาร์ซ่า อินเตอร์ของมูรินโญ่ต้องมาโดนใบแดงจนเหลือสิบคนตั้งแต่ต้นเกม ซึ่งเขาต้องหาหนทางเอาตัวรอดจากเกมนี้ให้จงได้ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้จึงก่อให้เกิดสไตล์ Park the Bus ขึ้นมาและมูรินโญ่ก็ทำสำเร็จโดยอินเตอร์สามารถเฉือนชนะบาร์ซ่า 3-2 (รวมสองเลก)และเข้าชิงไปในที่สุด
Park the Bus เป็นสไตล์การเล่นที่นำผู้เล่นทั้งหมดลงไปตั้งรับอยู่ในแดนตัวเองโดยทิ้งกองหน้าห้อยหน้าไว้หนึ่งคนและใช้วิธีโยนบอลยาวไปให้กองหน้าหรือใช้วิธีโต้กลับเร็วเพียงไม่กี่จังหวะโดยหวังพึ่งปาฏิหาริย์ในการทำประตูในไม่กี่ครั้ง