23 เม.ย. 2020 เวลา 23:46 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
อีเธอร์ (aether)ทฤษฏีพลังงานฟรีแห่งเอกภพที่โดนไอน์สไตน์โละทิ้ง
ในงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ยุคเก่ามีเอ่ยถึง อีเธอร์ (aether) อยู่บ่อยๆ ประหนึ่งว่าเป็นพลังงานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่จริง มีกระทั่งชั้นบรรยากาศอีเธอร์ที่ห่อหุ้มโลก และสนามแม่เหล็กอีเธอร์ ที่พวกนักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นพลังสร้างสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ต่างๆ รวมไปถึงการใช้พลังงานอีเธอร์อธิบายความสามารถของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ... และผิดธรรมชาติ
.
ขนาดที่อเล็กเซียถึงกับสรุปว่า "สุดท้ายทุกอย่างก็เกี่ยวข้องกับอีเธอร์"
.
แต่เดี๋ยวก่อน ทฤษฎีเรื่องอีเธอร์นี้มีอยู่จริงและเป็นความเชื่อที่เฟื่องฟูอยู่ในสมัยปลายยุควิกตอเรีย โดยมีการตั้งทฤษฎีว่าแสงเดินทางผ่านตัวกลางซึ่งเรียกว่า อีเธอร์
เรื่องอีเธอร์นี้มีความเชื่อกันมาตั้งแต่สมัยกรีก โดยบอกว่าธรรมชาติมีองค์ประกอบหลัก 5 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และ อีเธอร์ โดยอีเธอร์นั้นเป็นองค์ประกอบที่กระจ่างใส อยู่บนฟากฟ้าดาราสวรรค์ ไร้สี กลิ่น รส ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่เปียกและไม่แห้ง เป็นองค์ประกอบแรกสุดของจักรวาล ทั้งเพลโต และอริสโตเติล ต่างก็สนับสนุนแนวคิดนี้
.
อีเธอร์ยังป๊อบปูลาร์เรื่อยมาจนถึงยุคกลาง โดยเฉพาะในหมู่นักเล่นแร่แปรธาตุ (นิวตันเองก็ด้วย) แต่พอวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ความคิดเรื่องอีเธอร์ในฐานะองค์ธาตุก็ถูกลบล้างไป
.
ในศตวรรษที่ 18 มีการศึกษาการเคลื่อนไหวของแสง และนักวิทยาศาสตร์คิดว่าแสงจำเป็นต้องมีสื่อกลางสำหรับเดินทางผ่าน เหมือนเสียงที่เดินทางผ่านอากาศ (ไม่งั้นแสงอาทิตย์จะมาถึงโลกยังไง) จึงได้ยืมชื่อธาตุที่ห้าของกรีกมาตั้งชื่อตัวกลางนั้นว่า อีเธอร์
.
ทฤษฎีอีเธอร์เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย ประมาณว่ามีอะไรไม่เข้าใจก็โยนว่าเพราะอีเธอร์แหละผิด จนนักฟิสิกส์ในโลกต่างผยองว่า จักรวาลนี้ไม่มีอะไรให้ศึกษาแล้ว เหลือแค่ต้องหาอุปรกณ์วัดคุณสมบัติความยืดหยุ่นของอีเธอร์ให้ละเอียดถี่ถ้วนก็พอ ความคิดนี้ไม่เว้นแม้นักฟิสิกส์ชั้นนำแห่งยุคอย่าง Maxwell (ผู้คิดทฤษฎีว่าด้วยการแผ่รังสีของแม่เหล็กไฟฟ้า) และ Lord Kelvin (ผู้พัฒนาระบบการวัดอุณหภูมิสัมบูรณ์)
.
แต่ในปี 1887 Albert Michelson (ด้วยความช่วยเหลือของ Edward Morley) ทำการทดลองเรื่องแสงหักเห โดยใช้ทฤษฎีอีเธอร์เป็นพื้นฐาน (คือเชื่อมั่นมันมาก) แต่ปรากฏว่าสุดท้ายต้องเกาหัวเมื่อพบว่า ผลมันผิดพลาดไปหมด นั่นละจ้าถึงค่อยคิดได้ว่า แสงไม่ได้เดินทางผ่านอีเธอร์ และไม่แน่ เอกภพนี้อาจจะไม่มีอีเธอร์ด้วย!
.
เสียงในวงการวิทยาศาสตร์แตกเป็นสองฝั่ง ทั้งเชื่อ และไม่เชื่อ จนกระทั่งในปี 1906 ไอน์สไตน์มาฟันธงให้ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ และ Michelson ก็ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1907 อีเธอร์จึงตกกระป๋องนับแต่นั้นในวงการวิทยาศาสตร์ เพราะไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่ ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
.
อนึ่ง อีเธอร์ (aether) ในที่นี้ เป็นคนละอย่างกับสารละลายอีเทอร์ (ether) ซึ่งใช้เป็นยาสลบ และเป็นสารเคมีติดไฟ
1
อีเธอร์เชิงพลังงานฟรีหมายถึงอนุภาคของสสารที่มี 4 มิติ”ที่เพิ่มขึ้นจากศูนย์และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเส้นตรงในกราฟ เรื่องของพื้นที่สี่มิติเรียกว่าทางกายภาพว่าพื้นที่ อีเธอร์ในฟิสิกส์ควอนตัมหมายถึงพื้นที่ที่เป็นสูญญากาศทางกายภาพ ตามสมมติฐานข้อหนึ่งของการปลดปล่อยพลังงานของประจุคู่ของอิเล็กตรอน - โพสิตรอนในขอบเขตพื้นที่ดังกล่าวเกิดขึ้นได้ในอวกาศ ดังนั้นในสถานะนี้ยังไม่เป็นที่ได้การยอมรับว่ามีอยู่จริงในธรรมชาติของพื้นผิวโลก เช่นสถานะอะตอมมีความเป็นกลางทางไฟฟ้า และอะตอมที่ไม่มีนิวเคลียส สารทำงานชนิด 4D-aetheric ที่ไม่มีนิวเคลียร์มีบทบาทเป็นสื่อกลาง ระหว่างอะตอม 3 มิติทางกายภาพและอนุภาคแบบ 4มิติ อนุภาคอีเธอร์มีขนาดประมาณ 8 เลเยอร์ที่มีขนาดบางกว่าอะตอมทางกายภาพ อะตอมของดาวฤกษ์บางชนิดที่ค้นพบในจักรวาลมีอนุภาคอยู่ที่ประมาณ 8 ออร์เดอร์ที่มีขนาดบางกว่าอนุภาคอีเธอร์ เมื่อเทียบกับอะตอมทางกายภาพอะตอมของดาวฤกษ์ชนิดแอสตาร์คือ 16 เลเยอร์มีขนาดที่บางลง ในระดับอะตอมของสสารโครงสร้างความแตกต่างของ 8 ลำดับความสำคัญหมายถึงการเปลี่ยนไปสู่มิติใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกฏทางเทอร์โมไดนามิค
สมมุติว่าถ้าอะตอมมี 3 มิติทางกายภาพ≈ 10 -8 ซม. อนุภาคอีเธอร์ 4 มิติ≈ 10 -16 ซม. อะตอมของดาว 5D ≈ 10 -24 ซม. ในโลกแห่งความเป็นจริงการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณในขนาดของสสารภายในมิติเดียว (สำหรับอะตอมที่มีมิติเดียวกัน) จะมาพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านเหมือนวิภาษไปเป็นอะตอมใหม่ เชิงระดับเช่น: อะตอมทางกายภาพ→ร่างกายทางกายภาพ→ร่างกายแบบสี่มิติทางกายภาพ ... ; อะตอมของดาวฤกษ์→ร่างของดาวฤกษ์→ดาวเคราะห์ดวงดาวเป็นต้น
เมื่อคิดรูปแบบมิติทางคณิตศาสตร์โดยไม่สนใจกฎของการเปลี่ยนแปลงของการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณโดยสังเกตุแต่กฎเชิงคุณภาพและกฎพื้นฐานอื่น ๆ ของจักรวาลก่อให้เกิดการได้เปรียบเชิงกลแบบไม่มีเหตุผลและลึกลับเกี่ยวกับประยุกต์ใช้ทฤษฏีหลายมิติบนพื้นฐานของกฏทรงพลังงานในวิชาเทอร์โมไดนามิค ซึ่งกล่าวว่าพลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นหรือทำลายได้ โดยเฉพาะในเชิงปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นเส้นตรงในขนาดของสสารจากศูนย์ที่ไม่มีอยู่จริงไปจนถึงอินฟินิตี้ในจินตนาการ ในความไร้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ซึ่งมวลสารรูปทรงเกิดจากความว่างเปล่านี้ยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งของความเพ้อฝันทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการดึงพลังงานอนันต์จาก สมมติฐานคุณสมบัติของพื้นที่ 4 มิติมาใช้ ในการเปลี่ยนแปลงมวลแบบฉับพลันในกฏทรงพลังงานในมิติที่สี่
และเมื่อพิจารณาสมมุติฐานความเข้ากัน ทางคณิตศาสตร์ในโลกสามมิติมาแมทกับทฤษฏี พลังอนันต์จากมวลสารใน3มิติจะเกิดความประหลาดใจอันไม่พึงประสงค์รอเราอยู่ แกนมุมฉากที่ 4 เป็นไปได้หรือไม่? สำหรับพวกเราส่วนใหญ่พื้นที่สามมิติสัมพันธ์กับสามแกนของระบบพิกัดคาร์ทีเซียน ในแกน XYZดังนั้นหลายคนยังไม่พร้อมสำหรับความรู้ในพิกัดแกนNและสำหรับพื้นที่มิติ N ในขณะเดียวกันด้วยเหตุผลบางอย่างความคิดที่ง่ายที่สุดก็ถูกลืมไปหมดแล้ว:“ หลังจากทั้งหมดถ้า“ บางสิ่ง” เราไม่สามารถจินตนาการได้นั่นคือสร้างภาพทางจิตใจที่สอดคล้องกันจากนั้น "สิ่ง" ไม่มีอยู่ในหลักการปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีใดๆสามารถนำความรู้จากหลักการมิติที่4ไปใช้ประโยชน์ได้ "! นักคณิตศาสตร์อธิบายความจริงที่ว่าเราไม่เข้าใจยานบินของมนุษย์ต่างดาวในการเปิดประตูมิติของพวกเขา
เครดิตภาพประกอบ - http://www.vladtime.ru/nauka/576861
โฆษณา