26 เม.ย. 2020 เวลา 09:27 • การศึกษา
เ ล่ ห์ ล ะ เ ว ง : การสร้างละครพันทาง หลังจารีตนิยม
ดร.ผกามาศ จิรจารุภัทร
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ชมคลิปการแสดง "เ ล่ ห์ ล ะ เ ว ง"
“เล่ห์ละเวง” เป็นละครพันทางที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้โจทย์และ มุมมองใหม่ๆ โดยความนา่สนใจไม่ใช่เพียผลงานละครที่เกิดขึ้น แต่เป็นกระบวน การและกระบวนทัศน์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการสร้างสรรค์ละครชิ้นนี้ที่ส่ง ผลให้ทั้งผู้กำกับในฐานะนักวิจัยที่อยู่กับภูมิรู้ทางด้านนาฏศิลป์ไทยแบบจารีต มาตลอดชีวิต ได้มีโอกาสเรียนรู้และทดลองทำสิ่งใหม่ที่เป็นการท้าทายและ นำพาตนเองรวมถึงนักแสดงก้าวข้ามศาสตร์ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง ไปสู่จุดใหม่ วิถีใหม่บนรากเดิมหรือบนภูมิรู้ของตน โจทย์ที่สำคัญในการ สร้างสรรค์ ‘เล่ห์ละเวง’ คือ การค้นหาวิธีการสร้างงานลูกผสมที่ยังสะท้อน ลักษณะขนบละครแบบจารีต แต่ขณะเดียวกันก็ต้องร่วมสมัยและสื่อสารกับ คนดูในยุคปัจจุบันได้ด้วย การสร้างสรรค์เล่ห์ละเวงจะเป็นการเปิดพื้นที่ให้ ศิลปิน นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษาในสายศิลปะการแสดงแบบจารีตได้มี โอกาสมองเห็นและสำรวจถึงเนื้อแท้ ถึงแก่นที่ตนเองมีและผสานองค์ความรู้ นั้น ๆ ในงานละครลูกผสมทางขนบที่ตอบรับกับโลกปัจจุบันให้ได้
ผู้วิจัยได้นำคำว่า ‘หลังจารีตนิยม’ (Post-tradition) มาใช้ขยายความ หมายรูปแบบและแนวทางในการสร้างสรรค์ละครพันทางชิ้นนี้ ‘หลังจารีตนิยม’ หมายถึง หลังสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติ สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลายาวนานจน กลายเป็นจารีต ทั้งนี้คำว่า ‘หลังจารีตนิยม’ สามารถใช้อธิบายได้ทั้งค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี รวมไปถึงรูปแบบปฏิบัติต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งวิธีวิทยาของ‘หลังจารีตนิยม’ จะอธิบายถึงการหยิบยืม การลอกเลียนแบบ การปรับปรนและการนำจารีตเดิมมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับช่วงเวลาใหม่ สถานที่ใหม่ เหตุการณ์ใหม่ บริบททางสังคมใหม่ หลังจารีตนิยมเป็นคำที่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจของการคงอยู่ของความเป็นจารีตในสังคมนั้น ๆ ในปัจจุบันจะถูกโอบล้อมด้วยความเป็นสมัยใหม่ หากแต่หลังจารีตนิยมจะเป็นเครื่องเตือนใจหรือบอกเราว่า จารีตเรานั้นเป็นอย่างไร เรามีรากมาจากไหน เพื่อที่เราจะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หลงลืมหรือทิ้งรากของตนเองไป ดังนั้นแนวทางของหลังจารีตนิยมคือ การทำความเข้าใจ การรื้อสร้าง การถอดรหัสความเป็นจารีตนิยม ในฐานะที่จารีตนิยมเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมเพื่อให้จารีตนิยมสามารถคงอยู่คู่ขนานไปกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เป็นปัจจุบัน "หลังจารีต" ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งจารีตเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
การสร้างสรรค์ละครพันทางเรื่องเล่ห์ละเวงนี้ เป็นการทำงานที่ผู้วิจัยได้มี โอกาสลงมือสร้างสรรค์งานการแสดงด้วยตนเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลับมาจากการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งในการศึกษาต่อในครั้งนั้นผู้วิจัยได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง Lakhon Phanthang: Thai Traditional Theatre in the Modern World วิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการศึกษาค้นคว้า ในเชิงประวัติศาสตร์และเชิงสังคมวิทยา โดยมองปรากฏการณ์ การสร้างความเป็นจารีตนิยมที่ปรากฏในละครพันทางของไทย ในมุมของ การแสดงที่มีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงในบริบทโลกมา ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 19 การเปลี่ยนผ่านจากละครเอกชน ละครในราชสำนัก มาสู่การสร้างมาตรฐานละครพันทางสำหรับใช้ในระบบการศึกษา จนกระทั่ง ปรากฏการณ์ความเป็นสมัยใหม่ในละครพันทางในยุค 1980 และการเดินทางของละครพันทางสู่หน้าที่และบทบาทอื่นๆ ในสังคมปัจจุบัน ซึ่งการสร้างสรรค์ละครพันทางเรื่องเล่ห์ละเวงนี้ เปรียบเสมือนการเดินทางต่ออีกก้าวหนึ่งหลังงานวิทยานิพนธ์ โดยมองละครพันทางในมุมของความเป็น "หลังจารีต" ที่นำองค์ความรู้มาสู่การลงมือปฏิบัติรวมไปถึงการลงมือปฏิบัติเพื่อค้นหา ความรู้ที่ซ่อนอยู่
1.ตั้งต้นค้นหา : จากคู่กรรมสู่เล่ห์ละเวง
ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง หัวหน้าโครงการวิจัยหลัก ซึ่งได้ให้โจทย์ที่สำคัญแก่ผู้วิจัย คือ คือ การสร้างงานละคร พันทางที่สามารถสื่อสารกับคนดูและอยู่หรือเดินคู่ไปกับยุคปัจจุบัน โจทย์นี้ ทำให้ผู้วิจัยต้องกลับไปค้นหาและมองย้อนไปที่ภูมิรู้ของตนเองเพื่อนำมา กำหนดกรอบแนวทางการดำเนินงานวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยเรียกกระบวนการที่ เกิดขึ้นในการดำเนินงานในระยะแรกนี้คือ "การตั้งต้นค้นหา"
กระบวนการตั้งต้นค้นหาของผู้วิจัย คือ การหันกลับไปทบทวนภูมิรู้ในสิ่งที่ตนได้ศึกษาและสั่งสมมาในฐานะของผู้ที่ศึกษานาฏศิลป์ไทยมาโดยตรง และรวบรวมภาพความทรงจำของประสบการณ์ที่เคยเห็น เคยร่วมแสดงละครพันทันในโอกาสต่างๆ ผู้วิจัยใช้เวลาอย่างมากในการค้นหาความหมายและทำความเข้าใจถึงขนบหรือจารีตของความเป็นละครพันทาง ในวิถีละครพันทางซึ่งปรากฏอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ผู้วิจัยและผู้ทำบทได้เลือกนวนิยาย เรื่อง ‘คู่กรรม’ ของคุณทมยันตี มาใช้ในการทดลองสร้างบทละครพันทาง โดยเลือกนำเสนอ ในตอน นายผลนายบัวโดนกรอกน้ำมัน สาเหตุที่เลือกนวนิยาย เรื่องคู่กรรม มาสร้างเป็นบทละครพันทาง เพราะนวนิยายเรื่องคู่กรรม มีตัวละครต่างชาติ คือ ตัวละครเชื้อชาติญี่ปุ่น อีกทั้งงานสำเนียง (เพลงดนตรีและกระบวนท่าเคลื่นไหว) ญี่ปุ่นในนาฏกรรมไทยก็มีจำนวนไม่มาก ซึ่งน่าจะเป็นช่องทางและเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์การแสดงให้มีความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น และวรรณกรรมเรื่องคู่กรรมเป็นวรรณกรรมที่ติดอยู่ในใจและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสังคมไทย ดังนั้นการหยิบวรรณกรรมเรื่องนี้มาสร้างในรูปแบบใหม่ก็น่าจะเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วไปได้
2. กำหนด-ปลด-รื้อ : กระบวนการสร้างและการออกแบบเล่ห์ละเวง
โดยทั่วไปแล้วการทำงานหรือ สร้างสรรค์งานละครรำจะเริ่มต้นจากการคัดเลือก การเตรียม หรือจัดทำ บทละครที่จะใช้แสดง หลังจากนั้นจะดำเนินการวางโครงร่างของเพลงดนตรีที่จะใช้ประกอบการแสดง หรือในภาษาเรียกทั่วไปสำหรับผู้สร้างงานนาฏศิลป์และดนตรีไทย คือ การบรรจุเพลง แต่สำหรับการสร้างละครพันทางเล่ห์ละเวงในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีแนวคิดที่จะทดลองกระบวนวิธีการสร้างและฝึกซ้อมการแสดงที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ผู้วิจัยมีความเชื่ออยู่ในใจว่า "การแสดงที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งต้องมาจากความพร้อมของนักแสดงที่จะก้าวไปสู่โลกของการแสดงที่นักแสดงเองอาจจะคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย ทำให้ในบางครั้งตัวนักแสดงเองอาจจะต้องก้าวออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยที่ตนยืนอยู่มาโดยตลอด"
2.1 การกำหนดนักแสดง
นางละเวงวัณฬา
ถือว่าเป็นตัวละครเอกของละครเรื่องนี้ และเป็นผู้ดำเนินเรื่องหลัก เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่ถูกเล่าและสะท้อนผ่านเรื่องราว การคิดและการตัดสินใจของนางจากบทละครเล่ห์ละเวงสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดสูง กำพร้าแม่มา ตั้งแต่เด็กและถูกเลี้ยงดูในปราสาทราชวังโดยพ่อและพี่ชาย นางถึงพร้อมด้วย คุณสมบัติของกุลสตรีและคุณสมบัตินักรบเลือดกษัตริย์ มีความกล้าหาญ เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว และเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม
พระอภัยมณี
เป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญในละครเรื่องนี้แม้ว่าการปรากฏตัวของพระอภัยมณีในบทละครเรื่องนี้จะมีเพียงฉาก 4 ซึ่งเป็นฉากสุดท้ายของการแสดงก็ตาม
กลุ่มตัวละคร 3 เจ้า
เจ้าละมาน องค์มะหุด และระเด่นเซ็นระด่ำ การกำหนดผู้แสดงที่จะมารับบทเป็น 3 เจ้านี้ เป็นการกำหนดตัวผู้แสดงที่ผู้วิจัย พิจารณาจากลักษณะของบุคลิกที่ปรากฏในบทเป็นสำคัญ แม้ว่าทั้ง 3 คนนั้นจะเป็นกษัตริย์เจ้าเมือง แต่เนื่องจากในบทละครพันทางเล่ห์ละเวงนั้นผู้เขียน ได้วางตัวละคร 3 เจ้านี้ให้เป็นกลุ่มตัวตลกที่สร้างเสียงหัวเราะในฉากของการ แย่งชิงและขันอาสากันออกรบกับเมืองผลึกเพื่อนางละเวงโดยหวังว่าหากตน รบชนะก็จะได้นางละเวงมาเป็นคู่ครอง
อำมาตย์เมืองลังกา
ในละครเล่ห์ละเวงมีตัวละครสำคัญอีก 2 คน ซึ่งเป็น ตัวละครที่คอยยุยงนางละเวงและเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจที่สำคัญ ของตัวนางละเวง ได้แก่ อำมาตย์แห่งเมืองลังกา ซึ่งในละครเรื่องนี้ผู้วิจัยกำหนดให้มีอำมาตย์ 2 คน ที่มีบุคลิกเจ้าเล่ห์เพทุบาย และมีความขี้ขลาด เป็นผู้ที่มีวาทศิลป์ดี สามารถพูดจากหว่านล้อมคนได้เก่ง
นางกำนัล เมืองลังกา
เป็นตัวละครอีก 2 ตัวที่บทละครพันทางเรื่องนี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นตัวละครพี่เลี้ยงที่ดูแลนางละเวง
2.2.การวางโครงเพลงและดนตรีประกอบการแสดง
กระบวนการวางโครงดนตรีและเพลงประกอบการแสดงในละครพันทาง
เรื่องเล่ห์ละเวงนี้ ผู้วิจัยยอมรับว่าเป็นการทำงานที่ค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน และอยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์และการควบคุมของผู้วิจัยเอง เนื่องด้วย ตัวผู้วิจัยเป็นผู้ที่มีภูมิรู้ทางด้านเพลงและดนตรีค่อนข้างน้อยดังนั้นการวาง โครงเพลงและดนตรีในครั้งนี้จึงเป็นการหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีไทยมา เป็นผู้ช่วยอีกครั้งหนึ่ง ในเบื้องต้นผู้วิจัยได้รับความอนุเคราะห์จากอาจารย์ สัณห์ไชญ์ เอื้อศิลป์ คณบดีคณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา มาเป็นผู้บรรจุเพลงให้กับบทละครเรื่องนี้
2.3. การอ่านบทละคร
การอ่านบทละคร’ เป็นสิ่งน่าตื่นเต้น สำหรับนักแสดงที่เติบโตและสั่งสมภูมิรู้ของตนในการแสดงแบบจารีตหรือ แบบขนบมาเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากการอ่านบทละครเป็นกระบวนการ ที่นิยมใช้ในการกำกับการแสดงละครเวทีแบบตะวันตกมากกว่าการแสดง ละครรำตามแบบจารีต อย่างไรก็ตาม การอ่านบทละครก็ไม่ใช่กระบวนการใหม่ที่เกิดขึ้นในการกำกับการแสดงละครพันทาง
3. สร้าง-ปรับในงานกำกับการแสดง
ผู้วิจัยได้ทดลองนำวิธีการกำกับการแสดงอย่างละครตะวันตกมาประยุกต์ใช้ในการทำงานผู้วิจัยจะเปิดโอกาสให้นักแสดงได้ทดลองรำ ทดลองแสดงท่าทาง ขยับร่างกายไปตามอารมณ์จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลัง จากที่ได้ทำความเข้าใจในตัวละครหรือผ่านกระบวนการตีความตัวละครใน บทบาทที่ตนได้รับออกมาก่อน หลังจากนั้นผู้วิจัยซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กำกับจะ เป็นผู้กำหนดทิศทางหรือเลือกท่าทางและการแสดงอารมณ์ของตัวละครให้เป็นไปตามภาพที่ผู้กำกับคิดไว้
สนใจอ่านบทความเต็ม ๆ ได้ที่หนังสือ "ปรากฏการณ์การแสดง"
โฆษณา