27 เม.ย. 2020 เวลา 12:35 • ไลฟ์สไตล์
หลายต่อหลายครั้งที่ตั้งคำถามในใจของตัวเอง ว่า...
“คนหนึ่งคนจะสามารถทำให้เราอดทนเพื่อเขาได้นานเท่าไหร่กัน”
เรื่องนี้มากจากประสบการณ์ตัวเองโดยตรงเลยละค่ะ...
รักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน ที่ใครๆบอกกันมันอาจจริงแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แต่เราเองคิดว่าฝนที่เราเจอมันคงเป็นพายุที่โหมกระหน่ำสะมากกว่า และกว่าพายุลูกนั้นจะสงบและหายไปก็เล่นเอาสาหัสไปเป็นปีกันเลยทีเดียว
เรื่องมันเริ่มจากตอนมัธยมปลาย วัยแรกรุ่นใสๆเลยนะคะ ตามเสตปเลยมีรุ่นพี่มาจีบ แอบเล่นตัวเบาๆจนคุยกันสักพักก็คบกัน ในตอนนั้นก็ถือว่าไปได้เรื่อยๆ ทะเลาะกันบ่อยโดยเฉพาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ค่อนข้างจะขี้หึงเกินไปตอนที่เราอยู่กับเพื่อน ด้วยความที่เราเล่นกีฬาบาสฯ คือส่วนมากผู้ชายเขาเล่นกัน เราเลยสนิทเยอะหน่อยและตอนนั้นคือจะเป็นเรื่องที่มีปัญหามากที่สุดแล้ว ในส่วนของเราเองคิดว่าเรื่องแค่นี้เอง นั้นก็เพื่อนที่เล่นกีฬาไม่ได้จะไปเจาะแจ๊ะอะไรสะหน่อย อ่ะเคลียจบหนึ่งเรื่อง ยังไม่ทันหายขาดก็มาเรื่องเวลาซ้อมกีฬา คือเวลาซ้อมเนี่ยเราก็ต้องเปลี่ยนชุดจากชุดนักเรียนเป็นชุดซ้อมคือชุดบาสฯ มันก็เป็นเสื้อแขนกุดปกติไม่ได้โป๊อะไรเลย ก็มางอแงเราอีกรอบว่าทำไมใส่แบบนี้ไม่ใส่เสื้อข้างใน อ่ะตอนนั้นคือทั้งเหนื่อยทั้งหงุดหงิดแหละ ทะเลาะจนบนปลายไปรอบหนึ่งจนถึงขั้นเอ่ยคำว่า ”เลิก” ในที่สุด ยังไม่ทันจะข้ามวันก็โทรมาขอโทษ คุยไปคุยมาก็ดันมาบอกเราเป็นคนผิด เอ้า! คือไร งงสิแม่ -.- เราก็แบบขอโทษให้มันจบๆ คงไม่เป็นไร อีกอย่างตอนนั้นก็ยังไม่อยากให้มันจบเพราะเรื่องไร้สาระอะไรแบบนั้นเลยคุยกันให้เข้าใจ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร ก็จบกันไปด้วยดี เวลาผ่านไปจนรุ่นพี่ได้จบไป ย้ายที่เรียนแต่ก็อยู่ในจังหวัดเวลาที่เคยได้ใช้ด้วยกันก็ลดลงเป็นธรรมดา ในส่วนของเราเนี่ยไม่ได้มีปัญหาอะไร เราเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ นิสัยค่อนข้างไปผู้ชายแบบแมนๆคุยกันง่ายๆรู้เรื่องเป็นอันจบ แต่กับอีกคนไม่ใช่ตรงกันข้ามแบบชัดเจน ช่วงแรกในการเปลี่ยนที่เรียนของเขา เราเองเป็นฝ่ายที่ต้องแคร์และเอาใจใส่มากกว่า จนเรานอยมากบางทีเราต้องรอจนค่ำมืดกว่าจะได้กลับบ้าน ต้องรอเขาเลิกเรียนเพื่อที่จะเจอกันแต่กับเรานะหรอแค่เรากลับจากโรงเรียนช้าเพราะเราซ้อมกีฬาเขาก็นอยแล้วละ...เราเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเราต้องยอมและทำไมต้องเป็นฝ่ายที่ยอมตลอด...หลายคนคงคิดว่า แล้วทำไมไม่บอกเขาไปตรงๆไม่พอใจอะไรก็บอกสิ..ค่ะ บอกแล้วคุยแล้ว ปรับได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็กลับไปวนลูปเดิมๆจนทำให้เราเองไม่อยากจะพูดเพราะไม่อยากมีปัญหา ต่อให้เรื่องนั้นเขาจะผิดยังไงสุดท้ายก็เราเองก็กลายเป็นคนหาเรื่องไปสะอย่างนั้น เวลาผ่านไปเข้าปีที่2 ที่คบกัน เราเองที่เป็นฝ่ายพยายามทำให้เขาสบายใจ คอยคิดแต่ว่าถ้าเราทำแบบนั้นแล้วเขาจะพอใจไหม หรือจะโกรธไหม... จนถึงเวลาที่เราต้องย้ายที่เรียน นั้นคือมหาลัย เราเองเลือกเรียนในจังหวัดเพราะตอนนั้นเองฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ การเข้ามหาลัยนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราเพราะเราต้องเลือกในทางที่เราชอบที่เราถนัด แต่ตัวแปรสำคัญดันเป็นอีกคนที่เข้ามาก้าวก่ายในชีวิตเรา จนกลายเป็นว่าเราต้องถามเขาเพื่อให้เขายอมรับในการตัดสินใจของเรา
และการเข้ามหาลัยก็เป็นจุดเริ่มต้นของพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาแบบไม่หยุดยั้ง ไหนจะเรื่องเรียนและกิจกรรมที่เยอะมากในช่วงปี1 เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงในชีวิต ต้องเจอเพื่อนใหม่เป็นธรรมดา เราพยายามที่จะไม่คุยกับเพื่อนผู้ชายมากนักเพราะไม่อยากมีปัญหา เราเลยมีเดอะแก้งที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่มันก็ไม่ได้โอเคมากนัก เพราะเราเป็นฝ่ายที่ต้องขอตัว ออกตัวห่างเพื่อนไปซะอย่างนั้น แค่ไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนข้างมอ ยังทะเลาะกัน เลิกเรียนจะไปทำรายงานหอเพื่อนก็ต้องทะเลาะกัน เพื่อนเองก็เริ่มไม่โอเค ทำไมแค่ไปกินข้าวเที่ยงเอง ข้างมอตอนบ่ายก็เข้ามาเรียนเหมือนเดิม..ก็นั้นสิ ทำไม!!??...ยิ่งโลกออนไลน์ของเราเอง เขาก็ต้องมีรหัสเพื่อที่จะดูว่าคุยอะไรกับใคร เพื่อนจริงไหม มันเยอะขึ้นทุกวันจนเราเองทนไม่ไหว เราเลยเริ่มโกหกว่าไม่ไปหรอก อยู่มอ ไม่ไปแต่เราก็ไปเพราะเพื่อนก็สำคัญกับเราเหมือนกัน ความสัมพันธ์เรากับเพื่อนเริ่มดีขึ้น ตรงกันข้ามกับอีกความสัมพันธ์ที่เริ่มแย่เรื่อยๆ แล้ววันที่เราตัดสินใจจะจบก็เกิดขึ้น เพราะเราเองไม่อยากที่จะอยู่แบบนี้ต่อไปแล้ว ทนไม่ไหว ขนาดพ่อแม่เราเองยังไม่บังคับขนาดนี้ แล้วนี่ใครที่ไหนมาทำกับความรู้สึกเราแบบนี้ เราตัดสินใจบอกเลิกเขาไป ก็ทะเลาะกันใหญ่โตร้องไห้หนักมาก จนเขาก็ขอร้องไม่ไปได้ไหม ให้แม่เขามาพูดกับเราให้เราใจอ่อน เพราะเขาคิดว่าเราเกรงใจแม่เขา ก็นั้นแหละเราก็ยอมแต่เรามีข้อแม้ว่าแค่1เดือน ถ้าทำไม่ได้ตามที่ตกลงจะไม่กลับไป ข้อตกลงก็ไม่มีไรมากแค่เรื่องรับฟังมีเหตุผลแค่นั้น แต่เขาก็ทำไม่ได้ มาร้องไห้อ้อนวอนอีกครั้งเราก็ไม่กลับ เราคิดว่าถ้าเรากลับไปก็คงจะเป็นเหมือนเดิม เหมือนเราต้องยอมรับ ต้องทำตามเขา ชีวิตเราต้องมีเขคอยควบคุมอยู่ตลอด ถ้าไม่มีเขาคือทำอะไรไม่ได้เลย เรานั่งนอนคิดอยู่นานตอนนั้นก็ดันตรงกับช่วงสอบ เราเองก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ เขาก็ยังก่อกวนเราตลอดตั้งแต่วันที่เลิกกันไป บางวันก็พูดดีบางวันก็พูดไม่ดี เหมือนคนเป็นไบโพล่า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนเรายื่นคำขาดตัดสายไม่รับสาย คือพอแล้วจบแล้วจริงๆแต่ก็ยังเหลือไลน์ (เขาขอไว้ เราก็ดันใจอ่อน) ถึงวันสอบวิชาหินของเรา เราเตรียมตัวไปพร้อมทุกอย่างอ่านหนังสือทั้งที่ไม่ได้หลับได้นอนเพราะมีคนก่อกวน พอสอบเสร็จเราก็หนีไปอยู่ที่หอเพื่อนเพราะเขาส่งข้อความมาขู่ โทรมาหาเป็นร้อยสาย เขาก็ตามหาเราทั่วมหาลัย จนสักพักเขาเงียบไปเราจึงตัดสินใจกลับบ้านโดยมีเพื่อนขับรถอีกคันตามไปด้วย(รถมอไซนะคะ) เหตุการณ์อันน่าจดจำก็เกิดขึ้น คือเขาขี่รถมากับรุ่นน้องอีกสองคน รถมา2คัน ปาดหน้าที่รถเรา ทำไรไม่ได้ก็ต้องจอด พอจอดเขาก็ดึงดันจะเอาโทรศัพท์จากเรา หาว่าเราคุยกับคนใหม่ทั้งๆยังไม่ได้เลิกกัน โวยวายใหญ่โตใช้เสียงข่มเรากับเพื่อน แล้วก็ให้รุ่นน้องผู้ชายสองคนคอยกันเรากับเพื่อนไว้ไม่ให้แย่งโทรศัพท์ ตอนนั้นใจเราคือเจ็บก็เจ็บ มีสิทธิ์อะไรมาทำเพื่อนเรากับเราแบบนี้ แต่โชคก็เข้าข้างนิดนึงแบตโทรศัพท์เราใกล้หมดเขาเลยค้นได้ไม่เยอะ ยอมรับเลยตอนนั้นคือเราเข้าชมรมแล้วมีรุ่นพี่ที่คอยสอนงานเรา ก็คุยด้วยกันปกติแต่เราก็คิดว่ามันไม่ผิดเพราะเราเองก็เลิกกับเขาแล้ว ต่อให้มีคนมาจีบแล้วเราคุยด้วยมันก็สิทธิ์ของเราแล้วอ่ะ...จนคุยกันไม่รู้เรื่องโวยวายใหญ่โตรถที่ขับผ่านไปผ่านมาก็มองกันใหญ่ จนเขาเริ่มจะรุนแรงขึ้น บีบข้อมือ ผลัก อีกทั้งยังเกลี้ยกล่อมเราอีก ไม่เสียดายเวลาที่ผ่านมาหรอ 3ปีเลยนะ...(เสียดายสิ เสียดายมากไม่น่าตัดสินใจคบตั้งแต่วันนั้นเลย)... เราก็ร้องไห้เพราะกลัวอะไรหลายๆอย่าง ไม่ชอบคนเสียงดังที่พูดข่มเราตลอด เขาดูโมโหมากชกกำแพงไปแรงมาก เราก็เฉยไม่อะไร จนสักพักเรารู้สึกตัวชาไปหมด เริ่มไม่รู้อะไร หายใจหอบแรงมากเพื่อนก็ตกใจ เขาก็ตกใจก็เลยพาเราไปที่หอเพื่อนก่อน แล้วโทรหา1669 เพราะเราไม่ดีขึ้นเลย ตอนนั้นกำมือแน่น ชาไปทั้งตัวสติไม่อยู่เลยน้ำตามันไหลออกมาตลอด บอกไม่ถูก...พอถึงโรงบาลเราก็ได้นอนอยู่ห้องฉุกเฉิน เพื่อนมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า เขาบอกให้เพื่อนโกหกญาติเราว่าไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้เป็นอะไร เพื่อนไม่อยากมีปัญหาไม่อยากให้ที่บ้านเราคิดมากเลยบอกไปตามนั้น เขาก็พยายามสร้างภาพให้เขาดูเป็นคนดี มาช่วยเราเพราะเราเป็นลมเครียดจากสอบ ทั้งๆที่ไม่ใช่เลย จนออกจากโรงบาล เขาก็ยังตามก่อกวนเราทุกวิถีทาง ส่งไลน์มา เอาเบอร์อื่นโทรมากวนตลอด จนวันหนึ่งส่งไลน์มาเป็นรูปกรีดแขน ตอนนั้นยอมรับว่าตกใจมาก แต่ฉุดคิดได้ว่าห้ามใจอ่อน เราเลยแคปไปให้เพื่อนดู เขาดันโป๊ะแตกสะเอง เพราะเอารูปจากเนตมา ... คงจะคิดว่าถ้าเราเห็นคงจะทำให้เราใจอ่อนแล้วยอมกลับไปคบอีกครั้ง แต่ไม่ เราไม่โง่อีกต่อไปแล้ว... เราควรจะกลับมารักตัวเองให้มากๆดีกว่า
หลังจากนั้นเขาก็ตามก่อกวนประมาณเดือนหนึ่งแล้วก็หายไป แต่ความรู้สึกกับใจเราคือมันแย่มากจริงๆ คงจะจำฝังใจมากประสบการณ์ครั้งนี้คือที่สุดจริงๆ จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาน่าจะ 3-4 ปีแล้ว พอมองย้อนกลับไปก็ได้แต่คิดว่า ทำไมเราถึงยอมให้ใครก็ไม่รู้มาควบคุมและทำลายความรู้สึกเราขนาดนี้นะ...แต่ถึงยังไงดีมากแล้วที่ตัดสินใจจบแล้วก็ผ่านมาได้ขนาดนี้...
ขอบคุณเพื่อนที่ช่วยฮีลหัวใจให้ฟูฟ่อง
ขอบคุณตัวเอง ที่รู้จักรักตัวเองมากขึ้น
ขอบคุณประสบการณ์แย่ๆที่ทำให้รักตัวเอง
ขอบคุณประสบการณ์ที่ทำให้คิดอะไรได้มากขึ้น
ปล. ไม่รู้จะโยงเข้าหมวดไหนดี ขอเป็น Lifestyle แล้วกัน
ใครเคยผ่านประสบการณ์แบบไหนบ้าง มาเล่ามาแชร์กันได้นะคะ :)
#ความรัก #รักวัยรุ่น #ประสบการณ์
โฆษณา