[Quality EN ] The Pursuit of Happyness : ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ อย่าให้ใครมาบอกว่า คุณทำไม่ได้ แม้แต่ตัวคุณเอง (วิลล์ สมิธ สอนไว้)

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

1 พ.ค. 2020 เวลา 07:56 • บันเทิง

The Pursuit of Happyness : ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้

อย่าให้ใครมาบอกว่า คุณทำไม่ได้ แม้แต่ตัวคุณเอง (วิลล์ สมิธ สอนไว้)

ท่ามกลางปัญหาปากท้อง วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นจากพิษไวรัสโควิด 19 ที่มีแนวโน้มจะหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ ความลำบากข้นแค้นในชีวิต ทุกอย่างเริ่มดูแย่ลง ต้องปรับตัวเรียนรู้วิถีชีวิตใหม่ ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องแบบรับทุกปัญหา ต้องรับผิดชอบทุกชีวิต อาจเหนื่อยล้าต้องการกำลังใจเพื่อก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้

"The Pursuit of Happyness : ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้" ปี 2006 หนังสร้างแรงบันดาลใจลำดับต้นๆ ดูแล้วช่วยจุดเปลวไฟในตัวให้ลุกโชน สร้างพลังแรงขับเคลื่อนชีวิตให้เดินต่อไปอย่างไม่ทดท้อ

สารจากหนัง คำพูดสร้างแรงบันดาลใจ วิธีคิด การตั้งรับ การดำเนินชีวิต ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก มีให้ขบคิดตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมง หากใครต้องการกำลังใจ หนังเรื่องนี้มีให้ เพราะ “ยิ้มไว้ก่อนพ่อ (วิลล์ สมิธ) สอนไว้”

"อย่าให้ใครมาบอกลูกว่า..."

"ลูกทำนั่นทำนี่ไม่ได้..."

"แม้แต่พ่อ...เข้าใจมั้ย?"

"เมื่อลูกมีความฝัน...ลูกต้องปกป้องมัน"

"คนที่ทำอะไรไม่ได้ เขาจะบอกว่า... ลูกก็ทำไม่ได้ด้วย"

"แล้วถ้าลูกต้องการอะไร... จงเอามาให้ได้..."

“Don't ever let somebody tell you...”

“You can't do something.”

“Not even me. All right?”

“You got a dream... You gotta protect it.”

“People can't do somethin' themselves, they wanna tell you you can't do it.”

“If you want somethin', go get it. Period.”

ประโยคทอง คริส การ์ดเนอร์ (วิลล์ สมิธ) สอนลูกชาย คริสโตเฟอร์ จูเนียร์ (เจเด็น สมิธ) ให้เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองฝัน มองไปข้างหน้า ทำมันให้เป็นจริงให้ได้

ดูฉากนี้อีกหลายๆๆครั้ง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ได้ที่ลิงค์ยูทูป ด้านล่างนี้

youtube.com

‘The Pursuit of Happyness’ ฉากแห่งความประทับใจ

ฉากแห่งความประทับใจ จากหนังเรื่อง ‘The Pursuit of Happyness’ . ผมมักจะหยิบเรื่องจากหนัง เอามาเล่า เอามาแชร์ ให้เพื่อนๆ อยู่เสมอ . ฉากที่ผมได้หยิบมาในวันนี้ เ...

คริส การ์ดเนอร์ ผู้มีความฝันมุ่งมั่นจะสร้างครอบครัวให้มีความสุขสมบูรณ์พร้อมลูกชายและภรรยา ด้วยการนำเงินเก็บเกือบทั้งหมดของครอบครัวไปลงทุนซื้อเครื่องสแกนความหนาแน่นของกระดูกมาขาย

ด้วยตัวสินค้าเป็นสินค้าเฉพาะด้าน มีราคาค่อนข้างสูง ขายได้ยาก รายได้จึงไม่เพียงพอมาจุนเจือครอบครัว ภรรยาคือผู้หารายได้เข้าครอบครัวแต่เพียงฝ่ายเดียว

ฐานะการเงินเริ่มปัญหา ชักหน้าไม่ถึงหลัง ติดค้างค่าเช่า ค่าภาษี มีปากเสียงกับภรรยา ชีวิตของคริสเริ่มไม่เป็นดังที่หวัง

คริส ตัดสินใจคว้าโอกาสที่โชคชะตาหยิบยื่นให้ เข้าเป็นพนักงานฝึกอบรมนายหน้าซื้อขายหุ้นในบริษัท ดีน วิทเทอร์ เรย์โนลด์ส ทั้งที่ไม่มีเงินเดือนและจะมีผู้ฝึกอบรมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับการจ้างงาน

คริสไม่มีอะไรจะเสีย อะไรเข้ามาในชีวิตเขาไม่ปฏิเสธ เขาเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ พร้อมจะเรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งที่ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเลยแม้แต่น้อย รู้เพียงว่าเขาได้ที่ 1 จาก 12 คน ในห้องเรียนสมัยมัธยมเท่านั้น ที่เป็นความมั่นใจเดียว เขาจะต้องเป็นหนึ่งคน คนนั้นที่บริษัทเลือก

คำพูดที่คริส สอนลูกในสนามบาส มันเหมือนพันธสัญญาที่เขาบอกกับตัวเองว่า

“อย่าให้ใครมาบอกว่า คุณทำไม่ได้ แม้แต่ตัวคุณเอง“

เมื่อเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ไม่ปล่อยโอกาสให้ลอยหายไป คว้าโอกาสนั้นไว้ ตั้งปณิธานว่าต้องทำมันให้สำเร็จให้จงได้ ท้ายสุดคริสได้รับคัดเลือกเป็นพนักงานซื้อขายหุ้นเพียงหนึ่งเดียว

หนังพยายามชี้ให้เห็นถึง ชีวิต 6 เดือนระหว่างเป็นพนักงานฝึกอบรมไม่มีรายได้ ชีวิตฝากไว้กับการขายเครื่องสแกนกระดูก ที่เหลือไม่มาก บางเครื่องใช้งานไม่ได้ต้องซ่อม ซ้ำร้ายบางเครื่องยังถูกขโมยไปอีกด้วย

คำถาม : คริสครองสติตัวเองได้อย่างไร ?

กับสิ่งที่ประเดประดัง ซัดโถมใส่ชีวิตแบบไม่ยั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นคนไร้บ้าน ไร้เงิน เมียทิ้ง ตกอับถึงขนาดต้องพาลูกน้อยไปหลับนอนชั่วคราวในห้องน้ำสาธารณะของสถานีรถไฟ

คำตอบ : แล้วแต่คนดูจะเติมมันลงไป ....................

คริส เป็นคนเก่ง ขยันอดทน , คริส พูดเก่ง พูดโน้มน้าวคนได้ดี ทำให้ขายของได้ , คริส เป็นคนโชคดี ที่มีคนให้โอกาส , คริส เป็นคนดี พระเจ้าเลยมอบสิ่งดีให้ ฯลฯ

ไม่ว่าจะใส่อะไรลงไปในช่องว่าง มันก็แค่ใส่คำตอบ จากหนังที่ได้ดูเท่านั้น

แล้วถ้าเป็นโลกจริง โลกที่ทุกคนบอกว่าจะเข้าสู่ยุค

“โลกวิถีใหม่ ความปกติใหม่ นิว นอร์มอล (New Normal)”

หลังวิกฤตจากไวรัส โควิด 19 ยุติลง จะนำพาตัวเองและครอบครัวไปสู่วิถีชีวิตใหม่อย่างไร

ทุกวิกฤตล้วนมีโอกาส เพียงแต่จะปล่อยให้มันลอยผ่านไป หรือจะไขว่คว้ามันไว้ เพียงแต่ครั้งนี้ยากกว่าที่ผ่านมา เพราะมันจะเปลี่ยนในขั้นพฤติกรรมมนุษย์ที่คุ้นชินไปจากเดิม เปลี่ยนธุรกรรมหลายอย่างสู่ดิจิตอล ทักษะแบบเดิมในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) หรือยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) อาจล้าสมัยไปแล้ว

การปรับเปลี่ยน ปรับตัว เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเท่านั้นคือทางออก แม้สิ่งนั้นจะไม่เคยรู้มาก่อน ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ อดทน ไม่ฟูมฟาย โอดครวญกับอดีต นำชีวิตมุ่งพุ่งตรงไปข้างหน้า ใช้ข้อผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียน พาตัวเองเข้าสู่โลกวิถีใหม่

หนังเรื่องนี้เป็นชีวประวัติของ คริส การ์ดเนอร์ ที่ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกันผิวสี เจ้าของบริษัทค้าหุ้นเป็นของตัวเอง ด้วยเงินทุน 330,000 บาท

คริส เริ่มอาชีพนักค้าหุ้นนี้ เพียงแค่เดินเข้าไปสอบถาม คนใส่สูทที่มาพร้อมรถคันหรูว่า เขาทำอาชีพอะไร คำตอบที่ได้คือ นายหน้าค้าหุ้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล

แล้วคุณหละอะไร คือ สิ่งที่อยากถาม อยากรู้ อยากเป็น ในโลกวิถีใหม่ เพื่อที่จะพาตัวเองไปพบความสำเร็จ โดยไม่นั่งรอ นอนรอ โชควาสนา ไม่รอให้โอกาส ลอยลงมา ตกตรงหน้าหัวเตียง

หรือจะบอกกับตัวเองว่า ปัญหาตอนนี้มันเยอะฉันยังไม่พร้อม , สิ่งนั้นมันยาก , สิ่งนี้เราไม่ถนัด , รอให้พร้อมก่อน เลยกักตัวอยู่กับบ้าน หายใจพ่นทิ้งเวลาและโอกาสไปวันๆ

ท้ายสุดขอฝากเรื่องตลกที่ลูกชายของคริสบอกกับพ่อ เพื่อสร้างรอยยิ้ม ว่า

พ่อฮะ..ฟังนี่นะ

วันหนึ่ง..มีคนกำลังจมอยู่ในน้ำ มีเรือผ่านมา และถามว่า ..

“จะให้ช่วยมั๊ย ?” เขาตอบ “ไม่ต้อง..ขอบคุณ พระเจ้าจะช่วยผม”

แล้วมีเรืออีกลำผ่านมา ถามว่า “จะให้ช่วยมั๊ย ?”

เขาตอบ “ไม่ต้อง..ขอบคุณ พระเจ้าจะช่วยผม”

แล้วเขาก็จมน้ำ จากนั้นได้ขึ้นสวรรค์

เขาถามพระเจ้า “ทำไมท่านไม่ช่วยข้า”

พระเจ้าตอบ “ก็เรือ 2 ลำนั่นไง ไอ้โง่”

พ่อชอบมั๊ย ?

..-----------------..

จินตกาล กาง-แปรง