Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Captain No.12
•
ติดตาม
30 เม.ย. 2020 เวลา 04:50 • กีฬา
คลอปป์กับการสร้างลิเวอร์พูล 1
จะปรารถนาหรือไม่ เยอร์เก้น คลอปป์ ได้รับรางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ของฟีฟ่า
นับตั้งแต่รับตำแหน่งผจก ทีมลิเวอร์พูล เยอร์เก้น คลอปป์ ไม่เคยหยุดสร้างเซอร์ไพรซ์ หรืออาจเรียกว่า เวทมนต์มหัศจรรย์ กับทุกเรื่องที่เขาแตะ แบบ เป๊ป ลิจ์นเดอร์ส์บอกว่า “ไม่มีวันไหน ที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากคลอปป์ และที่สำคัญ คาแรคเตอร์ของทีมจะสะท้อนคาแรคเตอร์ของผจก” แต่ผมว่า (ผู้เขียน) ตอนนี้ คลอปป์กำลังสร้างคาแรคเตอร์ให้กับสโมสรลิเวอร์พูล
การเปลี่ยนลิเวอร์พูลจากที่เรารับรู้ ตั้งแต่ยุคบิลล์ แชงค์ลี่ย์ วางรากฐาน ให้เป็น สโมสรของคลอปป์ ไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอลโดยคลอปป์
ลิเวอร์พูลมาไกลขนาดไหน นับจากคลอปป์รับตำแหน่งจากเบรนดอน ร็อดเจอร์ส เมื่อ 17 ตุลาคม 2015 เกมแรกเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน ทุกคนอยากรู้ว่า คลอปป์จะจัดทีมอย่างไร เล่นแบบไหนจากยุคของร็อดเจอร์ส นี่คือ 11 ตัวจริงครั้งแรก: มินโญเล่ต์, ไคลน์, สเคอร์เทล, ซาโก้, โมเรโน่, เลว่า, ชาน, มิลเนอร์, ลัลลาน่า, คูตินโญ่, โอริกี้, ตัวสำรอง ทูเร, อัลเลน, ไอบ์, บ็อกดาน, ซินแคลร์, วิลลาก้า เทไซร่า, และแรนดอลล์
แผนผังการเล่นนัดแรกของ JK กับลิเวอร์พูล
เขาเปลี่ยนแผนการเล่นที่ร็อดเจอร์สใช้ประจำ และวางรูปแบบ 4-2-3-1 คูตินโญ่ มิลเนอร์ และลัลลาน่า อยู่หลังโอริกี้ในเกมรุก ชานกับเลว่า ปักหลักเป็นกลางรับ โมเรโน่ ซาโก้ สเคอร์เทล และไคลน์ คือแผงหลัง 4 คน
ผลการแข่งขันไม่สวยงาม 0-0 แต่นั่นคือเกมแรกในฤดูกาลดังกล่าว ที่มีทีม ทำสถิติวิ่งมากกว่าสเปอร์สใน 90 นาที ส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์หลังเกมคลอปป์กล่าวว่า “นักเตะมีปัญหา เวลาได้บอล เรายังใช้บอลได้ไม่ดี ไม่ใช้ทักษะ มั่วเกินไป อยากทำหลายอย่างมากเกิน เลือกเล่นไม่ถูก ไม่เกิด ประโยชน์”
เกม ทีม นักเตะ หรือแม้แต่ผจกทีมค่อยๆพัฒนา จนถึงจุดที่คลอปป์ต้องการ ลิเวอร์พูลคือทีมที่น่ากลัวสุดในยุโรป
ทุกทีมที่เจอลิเวอร์พูล ไม่สามารถบอกว่า นี่คือเกมสบายๆ คลอปป์ค่อยๆ พัฒนาทีมตามจุดที่เขาต้องการ ปี 2015/16 จุดเริ่มต้น มันไม่ใช่แค่การ เปลี่ยนรูปแบบการเล่น ซิกเนเจอร์คือร็อดเจอร์คือ 3-5-2 คลอปป์เริ่มด้วย 4-2-3-1 บางเกมใช้โอริกี้ บางเกมใช้สเตอริดจ์เป็นหน้าเป้า3 เกมแรก สเปอร์ส รูบิน คาซาน และเซาแฮมป์ตัน เสมอ 3 เกมรวด ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีนัก ก่อนชนะบอร์นมัธเป็นนัดแรกในลีก คัพ สกอร์ 1-0 และชนะเชลซี 3-1 ใน EPL
นักเตะและแฟนบอล รู้ว่า Gegenpressing หรือ Counter Press คืออะไร แต่จุดเริ่มต้นอาจไม่ใช่เกมแบบที่คลอปป์ต้องการ จนกระทั่งการชนะแมนฯ ซิตี้ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม 4-1 คลอปป์ใช้ระบบการเล่น 4-3-3 เป็นครั้งแรก 6 สัปดาห์หลังรับตำแหน่ง ความสม่ำเสมอคือเอกลักษณ์ของลิเวอร์พูลตอนนั้น ชนะแมนฯ ซิตี้ แต่แพ้คริสตัล พาเลซในเกมต่อมา บ่งบอกความไม่สม่ำเสมอ ทีมจบเป็นอันดับ 8 ชนะ 13 จาก 30 เกมแรกในลีกที่คลอปป์คุม สถิติไม่ได้ดีกว่า ร็อดเจอร์สเลย
กว่าจะถึงวันนี้ JK ต้องพบอุปสรรคมากมาย
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงลีก คัพ แพ้จุดโทษแมนฯ ซิตี้ 3-1(สกอร์หลังต่อเวลา1-1) และยูโรป้า ลีก (แพ้เซบีญ่า 1-3) ผลงานอาจน่าผิดหวังและเสียดาย แต่เรื่องของทีมเชื่อว่า เดอะ ค็อปมองเห็นอนาคต 2016/17 ทีมของคลอปป์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ชนะอาร์เซน่อล 4-3 ในนัดเปิดฤดูกาลที่เอมิเรตส์ นักเตะเข้ามาหลายคน จีนี่ ไวนัลดุม โจเอล มาติป ลอริส คาริอุส และซาดิโอ มาเน่ ซึ่งคลอปป์บอกว่า เข้ามาเติมจุดที่ขาดหายในเกมรุก นั่นคือ ความเร็ว
มาเน่ มีสิ่งที่สเตอร์ริดจ์ ฟีร์มีโน่ ลัลลาน่า และคูตินโญ่ไม่มี นั่นคือความเร็วในการเจาะแนวรับฝ่ายตรงข้าม 4 คนแรก มักจ่ายบอลสั้น ๆ จากมีหน้าเป้า 1 คน คลอปป์หันมายึดระบบ 4-3-3 ต่อเนื่อง มาเน่ทางขวา คูตินโญ่ซ้ายและฟีร์มีโน่อยู่ตรงกลาง แต่ไม่ใช่หน้าเป้าแบบ สเตอร์ริดจ์หรือโอริกี้ จุดสำคัญอีกเรื่องที่คลอปป์เปลี่ยนในฤดูกาลนี้คือ เกมรับ กองหลังและประตูฝีเท้าไม่ดีนัก เกมรับเริ่มตั้งแต่มิดฟิลด์จัดการปัญหา
Passes Per Defensive Action (PPDA) การผ่านบอลของฝ่ายตรงข้ามในแดนเราก่อนกองหลังตัดบอลได้ ตัวเลขน้อยหมายถึงคู่ต่อสู้มีโอกาสเล่นบอลในแดนเราน้อย ลิเวอร์พูลมีสถิติ 7.85 ต่อเกม สูงกว่าแมนฯ ซิตี้และสเปอร์สเท่านั้น มันหมายถึงฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสเล่นบอลในแดนลิเวอร์พูลน้อย โอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามจะยิงประตูก็น้อยลง เฉลี่ยโดนยิงเกมละ 7.6 ครั้ง ขณะที่ฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูลโดนฝ่ายตรงข้ามยิงเกมละ 10.4 ครั้ง
เกมรุก ลิเวอร์พูลมีโอกาสยิงเฉลี่ย 15.9 ครั้ง ต่ำกว่าฤดูกาล 15/16 ที่ทำได้ 16.7 แต่การยิงน้อยกว่า ส่วนทางกับสถิติยิงเข้ากรอบมากกว่า 38 % กับ 35 % จากฤดูกาลก่อน ค่าเฉลี่ยประตูที่น่าจะได้(xG) เพิ่มจาก 1.5 เป็น 1.7 / เกม xG เป็นสถิติที่ฤดูกาลนี้ ถูกพูดบ่อยมาก คำนวนจากโอกาสยิง ความยาก ตำแหน่งยิง บอกให้รู้ว่า แต่ละทีมควรจะยิงได้แค่ไหน จากโอกาสที่มีอยู่
ลิเวอร์พูลชนะ 22 จาก 38 เกมใน EPL ซึ่งคลอปป์คุมทีมมากกว่าเดิม 8 นัด และสถิติครองบอลเพิ่มจาก 56.2 % เป็น 61.4 % จากที่วิ่งไล่ กลายเป็นครองบอล และใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องถ้วย ไม่มีฟุตบอลยุโรป และอันดับจบเป็นที่ 4 เหนืออาร์เซน่อล 1 คะแนน นั่น หมายถึง การเล่น UCL ครั้งแรกของคลอปป์กับลิเวอร์พูล
2017/18 จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์หน้าใหม่สำหรับลิเวอร์พูล แอนดี้ โรเบิร์ตสัน โม ซาลาห์ อ๊อกซ์เลด แชมเบอร์เลน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์เข้ามาสู่ทีม เกมรุกเปลี่ยนแปลง ซาลาห์ยึดพื้นที่ด้านขวา มาเน่ต้องขยับไปซ้าย ซึ่งอาจจะดีเพราะเท่ากับมาเน่สามารถตัดเข้ามายิงด้านเท้าขวาที่ถนัด ฟีร์มีโน่ทำหน้าที่เชื่อมการเล่นกับมาเน่และซาลาห์ดีขึ้น โดยเฉพาะจังหวะ ถอยต่ำ เพื่อเปิดบอลให้ มาเน่และซาลาห์ใช้ความเร็วเล่นงานคู่ต่อสู้ เท่ากับฝ่ายตรงข้าม ต้องพยายามหยุดกองหน้า 3 คน ไม่ใช่คนเดียวจาก ระบบหน้าเป้า
ปัจจุบันคือ 1 ในยอด ผจก ขวัญใจเดอะ ค็อป ทั่วโลก
จุดสำคัญอีกอย่างคือ เกมรับ โรเบิร์ตสัน เริ่มเป็นตัวจริงแทนที่โมเรโน่ ประมาณ คริสต์มาส และเวอร์จิล ฟานไดจ์ค เข้ามาตอนมกราคม 2018 ทำให้เกมรับสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หากเทียบเกมระหว่างสิงหาคมถึงธันวาคม ลิเวอร์พูลเสีย 24 ประตูใน EPL แต่เมื่อมีฟาน ไดค์ ตั้งแต่มกราคม 2018 จนจบฤดูกาล เสียแค่ 13 ประตู และมีโอกาสยิงมากขึ้น
คลอปป์ต้องการหาจุดสมดุลย์ จากการเพรสซิ่งสุดๆ ในปี 2015/16 ตัวเลขที่ฝ่ายตรงข้ามผ่านบอลได้ก่อนโดนตัด เพิ่มจาก 7.85 เป็น 10 นั่นหมายถึงการครองบอลเฉลี่ยลดลงเหลือ 57 % ต่อเกม ถามว่าคลอปป์รู้ไหมว่า ปัญหาคืออะไร เขาน่าจะรู้ดี แบบที่เป๊ป ลิจ์นเดอร์สบอกว่า “จัดระเบียบความวุ่นวาย”
ลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับ 4 เหมือนเดิม แต่ได้เข้าชิง UCL ก่อนแพ้เรอัล มาดริดอย่างน่าเจ็บใจ ซึ่งคลอปป์บอกว่า มันคือ Unfinished business
กิตติกร อุดมผล
( ฤดูกาล 2019/20 ลิเวอร์พูลเปลี่ยนการเล่น ที่แทบจะเปลี่ยนปรัชญาฟุตบอลของคลอปป์เลยทีเดียว)
บันทึก
17
1
4
17
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย