หลังจากเข้าไปในห้องพัก พวกเราปรึกษากันว่า จะใช้ “รหัสลับ” ในการเรียกพวกสันติบาลเหล่านี้อย่างไรเพื่อเตือนพวกเรากันเองให้ระมัดระวังตัว โดยจะต้องไม่ทับศัพท์ภาษาอังกฤษเพราะพวกสันติบาลจะฟังรู้เรื่องอย่างเช่นคำว่า “Spy” หรือ “Police” เป็นต้น และไม่ควรจะใช้คำภาษาไทยที่มีความหมายตรงตัวด้วยเหมือนกัน เพราะจากประสบการณ์ในรัฐฉานสอนให้ฉันรู้ว่า สันติบาลมีความรู้ในภาษาท้องถิ่นปฏิบัติงานด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าเป็นเมืองที่ใกล้ชายแดนไทย สันติบาลก็จะรู้ภาษาไทย เพื่อความปลอดภัยในทุกด้าน เราจึงพยายามหลีกเลี่ยงใช้คำที่เข้าใจง่าย โดยเลือกใช้ "รหัสลับ" แทน เช่น ใช้คำว่า "สับปะรด" แทน "สันติบาล" ใช้คำว่า "พ่อหลวง" แทน "รัฐบาลทหารพม่า" ใช้คำว่า “คุณป้า” เวลาพูดถึงอองซาน ซูจี และใช้คำว่า “เอ็นจอย” แทน “พรรคเอ็นแอลดี” เป็นต้น
รุ่งเช้า พวกเราลงมารับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม พวก “สับปะรด” ก็ตามเข้ามานั่งชิดโต๊ะของเราชนิดหลังชนหลังกันเลยทีเดียว ในห้องอาหารไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น พวกเราส่งรหัสลับให้กันเพื่อระมัดระวังการพูดคุยกลางโต๊ะอาหาร สิ่งที่ผิดปกติของชายกลุ่มนี้ ซึ่งทำให้พวกเราสงสัยว่าเป็นสันติบาลก็คือ พวกเขานั่งกันอยู่เงียบ ๆ แค่จิบน้ำชา แล้วก็ไม่คุยอะไรกันเลย ทุกคนทำเหมือนกับรอฟังสิ่งที่เราพูดมากกว่า พวกเราตกลงกันว่า เสร็จจากร้านอาหารแล้วควรจะไปสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเขาไปกันสักหน่อย โดยควรจะเลือกสถานที่แบบชุลมุนวุ่นวายอย่างเช่นตลาดสด แล้วแยกย้ายกันเดิน พวกสันติบาลจะได้กระจายกำลังไม่ถูก แล้วก็เลิกสงสัยซักที
อันที่จริง การเดินทางไปเมาะละแหม่งครั้งนี้พวกเราต้องการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปากแม่น้ำสาละวินซึ่งจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนสาละวินซึ่งมีหลายเขื่อนตั้งแต่ต้นน้ำในรัฐฉานลงมาถึงชายแดนไทย เข้าไปในรัฐกะเหรี่ยง การสร้างเขื่อนตลอดลำน้ำจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตท้ายน้ำ อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น เป้าหมายหลักของการมาที่นี่คือการเก็บข้อมูลความอุดมสมบูรณ์ของลำน้ำสายนี้ก่อนสร้างเขื่อน