1 พ.ค. 2020 เวลา 05:43 • ท่องเที่ยว
บทความนี้ เป็นบทความที่ผม เคยเขียนให้กับ หนังสือ เนชั่น จุดประกาย ตีพิมพ์เมื่อ
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2547...ตอนนั้น พี่เกี๊ยง นันทขว้าง สิรสุนทร ได้บอกให้ผมลองเขียนดู เพราะว่า สมัยก่อนนั้น การจะไปเที่ยวที่ สตูดิโอ จิบลิ นั้น ยากลำบากมาก เพราะว่า เค้ารับแบบจำกัดจำนวนคนดู
ต้องจองตั๋วไปก่อน ถึงจะได้ดู และ เมื่อได้มีโอกาส ไปเยือนแล้ว ทางพี่เกี๊ยง เลยขอให้นำมาเขียน แล้วเค้าจะขัดเกลาให้ ก้อเลยลองดู...555 ครั้งนึง ในชีวิต ได้เขียนคอลัมน์ ลงหนังสือพิมพ์ มีชื่อแปะกะเค้าด้วย อิอิ
เอาละ..งานนี้ รูปไม่ค่อยแยะ แต่ข้อเขียนแยะนิดนึง ลองอ่านดูนะครับ เผื่อว่า เวลาไปยี่ปุ่นแล้ว นอกจาก ฮาราจูกุ รปปงหงิ แล้ว ก้อมีที่ มิทากะ นี่แหละ ที่คุณ...ต้องไปเยือน
สัมผัสกับ ดิสนีย์ แห่งยี่ปุ่น...Studio Ghibli
ไม่ใช่แค่ "จิอิโร่" เด็กหญิงวัย 10 ขวบหรอก ที่หลุดเข้าไปในโลกอันน่าประหลาดของหนัง Spirited Away
หรือ ไม่ใช่เด็กน้อยอย่าง "เมย์" หรอก ที่เพลิดเพลินในการเดินตามปีศาจน่ารักอย่าง "โตโตโร่" เข้าไปใน
ป่าของหนังอย่าง "My Neighbor Totoro"
ผมเองก้อหลุดเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยจินตนาการสวยงาม ในหนังการ์ตูนมากมายของ สตูดิโอ จิบลิ
ที่ประเทศยี่ปุ่น...หลังจากเดินทางไปเที่ยวงานของเล่นที่ชื่อว่า "Wonder Fest" ที่ยี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้
คุณ บก.Et ของ biz week โทรทางไกลมาหา แถมใช้คารมชักแม่น้ำทั้ง 500 สายว่า อยากให้ผมเขียน
รายงานเป็น สกู๊ปพิเศษ ในการไปเยือน "สตูดิโอ จิบลิ" แห่ง ยี่ปุ่น
เพราะว่า จิบลิ คือ ดิสนีย์แห่งเอเชีย และมีหนังการ์ตูนดีดี มากมายหลายเรื่อง ผมเองก้อไม่กล้าตกปากรับคำ เพราะกลัวว่า จะเขียนไม่ดี แต่พอถูกยุมากมาก ก้อใจอ่อน ความตั้งใจแรก คือ ต้องการไปเที่ยว
งาน Wonder Fest ซึ่งปีหนึ่งจัดเพืยงสองครั้ง เท่านั้น
แต่การไปครั้งนี้ ซึ่งกินเวลา สองสัปดาห์ ทำให้มีเวลาเยอะ ทีนี้ พอมีเวลาว่างว่าง ก้อเลยอยากไป Ghibli Studio Museum เพราะได้ยินกิตติศัพท์มานาน ก่อนจะไป ผมเข้าไปหาข้อมูลในเนท ว่าวิธีการไปที่นี่นั้น
ไปอย่างไร และซื้อตั๋วด้วยวิธีไหน...(เมื่อสมัยก่อนนั้น website ของ studio ghibli ข้อมูลน้อยมาก และที่สำคัญ ไม่มีภาษาอังกฤษครับ)
...วิธีซื้อตั๋วก้อไม่รู้เรื่อง เพราะอ่านเวปไม่ออก มีแต่ภาษายี่ปุ่น..หาตาม กูเกิ้ล ดูคนอื่นที่เคยไป
จากเวปของคนฝรั่ง ที่เคยไปเที่ยว...ก้อเลยได้ความว่า วิธีซื้อตั๋วนั้น จะไม่มีขายที่สถานที่
จะมีขายที่ร้าน Lawson ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อ (เหมือน 7-11) โอเค ได้ความแล้ว ก้อเอาล่ะ เด่วตอนเราไปถึงยี่ปุ่น ค่อยไปซื้อเอาที่นั้นก้อได้ เพราะซื้อผ่านเวป เราก้อไม่รู้เรื่อง...
ซึ่ง ที่พักของเราในยี่ปุ่นนั้น ร้าน Lawson อยู่ละแวกนั้นเลยไม่ไกล ดังนั้น พอมีเวลาว่าง ผมก้อเดินเข้าไปในร้าน แล้วบอกว่า จะขอซื้อตั๋วไป Studio Ghibli Museum. พนักงานในร้าน ก้อเลยพาเราไปที่ตู้ตู้หนึ่ง
หน้าตา เหมือนตู้ ATM...เอ มันจะพากรูมาทำไมเน่ีย...จากนั้น พนักงานก้อส่งภาษาที่เราไม่รู้เรื่อง ออกมาแบบเป็นชุดชุด..ซวยแระ ทำงัยเนี่ย...ก้อส่งภาษาว่า จะไป "สตูดิโอ จิบลิ" พนักงานก้อทำหน้า เหรอหรา
จนเราต้องควักเอารูป โตโตโร่ ออกมา...น้องคนนั้น ถึงร้องอ๋อ ออกมา แล้วบอกมาคำนึงว่า
"โตโตโร่ มิทากะ" อ่อ จะไปที่นี่ ต้องบอกแบบนี้นี่เอง ไปบอกว่า สตูดิโอ จิบลิ ส่ายหัว บางที สำเนียงเรา
อาจจะถึงขั้นเทพ ที่เค้าฟังเรา ไม่รู้เรื่องก้อเป็นได้นะ อิอิ
ค่าตั๋วเข้าชม Museum ราคา 1000 เยน ครับ...ราคาใช้ได้เลยนะเนี่ย
ใน หนึ่งวัน...ทาง Museum จะเปิดให้ชมวันละ 4 รอบ รอบนึง ประมาณ 2 ชมครับ มีเวลาให้ประมาณนี้
และในหนึ่งรอบ รับไม่เกิน 200 คน น้อยมาก เพราะว่า สถานที่ของเค้าค่อนข้างเล็ก และมีสิ่งของจุกจิก
เยอะมาก ก้อเลยต้องจำกัดคนดู
เวลาเปิด ปิด ของที่นี่ ก้อคือ 10 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น..รอบที่ผมจองได้คือรอบ 14.00 น.
ทีนี้ ก้อต้องมาแพลนเรื่องการเดินทางครับ เพราะว่า เมืองมิทากะนั้น อยู่ห่างจากที่พักของผม ประมาณ
เกือบ หนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว...เพราะว่า ผมพักใน ย่าน ชินจูกุ
และเมื่อเดินทางมาถึงที่ เมืองมิตากะแล้ว...จะไปยัง Studio Ghibli นั้น จะต้อง ต่อรถบัส ซึ่งเป็นรถของทาง
สถานทีครับ...สนนราคาคือ ขาละ 300 เยน ถ้าซื้อ สองขา จะเหลือ 550 เยน...ก้อต้องจ่าย 550 เยนซิครับ
เพราะไม่รู้ว่า ระยะทางไปไกลหรือป่าว ซึ่งคิดถูกมากครับ เพราะว่า ระยะทางจาก สถานีรถไฟ ไปยัง
มิวเซียม ใช้เวลา 10 นาที (คิดเองนะครับ บ้านเค้า รถไม่ติด ไฟแดงก้อน้อย ใช้เวลาเท่านี้ ไกลป่ะ อิอิ)
ลงจากสถานี...มองไปทางซ้าย ก้อจะเห็นป้ายรถเมล์ หน้าตาแบบนี้ ไม่ผิดแน่นอน
เพราะมันเป็นตัวแรคคูน จากหนัง โตโตโร่...ไปต่อซื้อบัตร แล้วต่อคิวรอรถได้เลย
และนี่คือ หน้าตา รถบัสที่จะนำไปยัง Studio Ghibli Museum
ใช้ สัญญลักษณ์ สีเหลือง และคาดสติ๊กเกอร์ เป็นรูปแมว...อุปมา จะให้เหมือนกับคุณกำลังนั่ง
Cat bus เจ้าแมวเหมียว ที่เป็นรถบัส ในหนังเรื่อง Totoro นั่นเอง
และแล้ว ก้อมาถึงจนได้ Studio Ghibli Museum อันลือชื่อ
สถานที่ค่อนข้างจะเล็ก ไม่ใหญ่โต ผิดกับที่คาดไว้ แต่ว่า สิ่งก่อสร้าง ดูสวยงาม
แปลกตาเป็นอันมาก มีรูปทรงหลายแบบ ผมปนเป กันอยู่ในตัวอาคาร แต่ดูลงตัวดีมาก
เก็กท่าถ่ายรูปหน้าทางเข้าซักหน่อยว่า มาเยือนแย้ว (หมายเหตุ
รูปสมัยก่อนของผมเนี่ย อ้วนมาก เห็นแล้วอย่าหัวเราะแรงนะ...เด่วเหนื่อย อิอิ)
เอาละ หยิบตั๋วออกมา ต่อคิวเข้าชมด้านในได้เลย
วันนี้ มี นิทรรศการ จาก Pixar มาโชว์ด้วย...แจ๋วจิง ได้ดูควบกันไปเลย
ที่นี่ จะไม่มีไกด์นำทาง เหมือนเวลาไปทัวร์ยังสถานที่อื่นนะครับ
เวลาที่คุณเข้าไปยังด้านใน เมื่อคุณเอาบัตรให้พนักงานแล้ว
ทางพนักงานจะหยิบตั๋วเข้างานมาแลกกับเรา
ซึ่งจะเป็นฟิลม์หนัง ที่มาจากหนังการ์ตูนเรื่องต่างต่าง ตามรูปเลยครับ
น่าสะสมเป็นที่สุด...แต่มะรู้ของผมเก็บดีเกินไปหรือป่าว...หาไม่เจอคับ ฮือ ฮือ
หลังเคาน์เตอร์ของพนักงานต้อนรับก่อนที่จะเข้าไปยังตัวห้อง ตรงหน้าบันไดด้านข้าง
จะมี วลีเด็ด ติดอยู่ ซึ่งถอดความเป็นไทย ออกมาได้ว่า
"ที่นี่ จะคืออะไร จะเป็นอะไร หรือ จะรู้สึกอย่างไรนั้น อยู่ที่ จินตนาการของคุณ"
"ให้ความฝันของคุณ พาเที่ยว"
สุดยอดจิงจิงเลยครับ...ประทับใจตั้งแต่ก่อนเข้าเลยนะเนี่ย สุดสุดจิงจิง
เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายมาให้ชมกันได้ เพราะว่า พนักงานเค้า เฮี๊ยบ จิงจิง
(สมัยก่อน ยังไม่มี โทรศัพท์ ถ่ายรุปเจ๋งเจ๋ง เหมือนไอโฟน ไม่งั้น เรียบร้อยแล้ว ฮือ ฮือ)
บรรยากาศด้านใน...ความรู้สึกแรกของผม คือ มัน อลังการ สวย และบรรเจิดมาก
ในความรู้สึกของผม จากการที่เขาตกแต่ง ดีไซน์ เป็นเหมือนบ้านไม้
ตามแบบตะวันตก ดูคลาสสิค...ตัวอาคาร มี 3 ชั้น เปิดโถงกลางโล่ง มีพัดลมอยู่ด้านบน
และ มีทางเดินเป็นระเบียง รอบรอบ ซึ่งทำให้ดู โปร่งโล่ง ดีครับ
และที่เก๋ ก้อคือ มีสะพานเชือก ห้อยระโยงระยาง เหมือนในหนังการ์ตูน เพื่อให้นักท่องเที่ยว
สามารถเดินเล่น ข้ามไปมา ระหว่างชั้นได้...
ที่คุณเห็น พัดลม อยู่บนหัวคุณนั้น จริงจริงแล้ว มันคือ ความหมายของที่นี่นะครับ
คำว่า "จิบลิ" เป็นภาษาอิตาเลียนครับ แปลว่า "สายลมใต้ปีก" นั่นเองครับ
นี่แหละ เหตุผล ที่มีพัดลม ติดอยู่ด้านบน โดยที่ไม่มีคำอธิบายทั้งสิ้น ว่า ติดทำมัย
นั้นแหละครับ คุณต้องค้นหา คำตอบถึงจะมา...ดู Museum ที่นี่ ต้องคิดเยอะครับ
ผมเดินเข้าไปห้องนึง ซึ่งอยู่ชั้น 1 เป็นห้องมืดมืด ซึ่งห้องนี้ เป็นห้องเกี่ยวกับ
วิธีการทำ อนิเมชั่น...ในรูปที่เห็นนั้น ก้อคือ ตัว Clay ซึ่งจะเป็นการปั้นไว้ใน อิริยาบทต่างต่าง
ซึ่งตอนแรกที่เห็น เออ สวยดีแฮะ...แต่หลังจากนั้นอีกไม่เกิน สองนาที
คำว่าสวยดี เปลี่ยนเป็น...ทึ่ง อึ้ง...สุดยอดดดด
แท่นกลมที่เห็นนั้น มันหมุนครับ ด้วยความเร็วที่จะทำให้คุณสามารถเห็น ตัว Clay ที่วางอยู่นั้น
เคลื่อนไหวได้...ใช่ครับ คุณจะได้ดู Clay nimation แบบเป็นเป็นเลย อย่างใกล้ชิด
ด้วยความเร็วแบบฟิลม์หนังคือ 24 เฟรมต่อวินาทีเลย...โอย แค่ไอ้แท่นนี้แท่นเดียว
ดึงดูดให้ผมอยู่กับมันเกือบ สิบนาที ดูแล้ว ดูอีก แบบไม่เบื่อเลย
ด้วยเหตุนี้ หนังของ จิบลิ แต่ละเร่ื่อง จึงไม่เหมือนใคร เพราะว่า เขาละเอียดอ่อน ในเรื่อง
เทคนิคมาก...คุณเดินเข้าไปใน Museum นี้แล้วนั้น คุณจะเหมือนกับ อยู่ในสวนสนุกของหนัง
ทุกอย่าง เขาจะมีที่มาที่ไป มีวิธีทำบอกไว้ด้วยว่า ทำอย่างไร เพื่อให้คนดูรู้สึกถึง ความลึกของหนัง
มันเหมือนเราตกอยู่ในบรรยากาศแบบที่เห็นในหนังเลยนะ...
วันที่ไป และรอบที่เข้าไปดู...ฝรั่งมาดูเยอะมาก อืม เค้าขวนขวยกันจริงจริงเลย
แล้วอย่างงี้ พวกเราคนไทย พวกบ้าหนัง จะไม่มาดูกัน สักครั้ง ได้อย่างไร
ลืมบอกไปว่า ทุกคนที่มายังที่นี้นั้น จะได้สิทธิ ชมหนังสั้น ของ จิบลิ
ในโรงหนัง ขนาดเล็ก ซึ่ง หนังสั้นที่ฉายนั้น ก้อจะเป็นเรื่องที่
ทางนี้ เขียนใหม่ เพื่อมาฉายในโรงหนังนี้ โดยเฉพาะ
เป็น อนิเมชั่น ซึ่งเสียดายที่ เป็นภาษายี่ปุ่นอย่างเดียว แต่ว่า ก้อได้อรรถรสดีครับ
ฟังไป หัวเราะตามเด็กเด็กข้างข้างไป ... แต่การ์ตูน ดูง่ายครับ ไม่ซักซ้อน
และที่เห็นก้อคือ บรรยากาศ ของโรงหนังครับ แต่งได้สวยดีครับ
เก้าอี้นั่ง ก้อเป็นเหมือน เก้าอื้ ตามโบสถ์เลยครับ
ความยาวของหนัง ก้อไม่เกิน ห้านาทีครับ...ควรจะดูเป็นอย่างยิ่ง ถ้าได้เข้ามาแล้ว
หลังจากดูหนังจบแล้ว ก้อเดินขึ้นชั้น 2 ... จะเป็นส่วนแสดงจัดโชว์ ห้องทำงานของ มิยาซากิ
ซึ่งก้อคือ เจ้าของ สตูดิโอ จิบลิ นั่นเอง..จะเห็น กองกระดาษ โมเดล ปากกา สี ร่างสเก๊ตซ์มือ
และอื่นอื่น กองกันเต็มไปหมด...แค่เห็น ก้อตาลุกวาวแล้ว แทบอยากจะหยิบกลับบ้านเลย
แต่ เค้าจะมีคนยืนมองอยู่ครับ...อดเยยย
สิ่งที่กองอยู่บนโต๊ะนั้น บอกถึงการทำงานอย่างหนักของ มิยาซากิ และทีมงาน
ที่จะปรุงแต่ง หนังการ์ตูนแต่ละเรื่อง ให้ออกมาดี ทั้งเนื้อหา และรูปภาพ...สุโค่ย ครับ
หลังจากหลุดออกมาจาก ห้องชั้น 2 ซึ่งใช้เวลาไปอีกเกือบ หนึ่งชั่วโมง ในการค่อยค่อย ละเลียด
ดูสิ่งละอันพันละน้อย...ก้อรีบเดินขึ้นมายัง ชั้น 3 เพราะว่า เหลือเวลาดูอีกไม่เกิน ชั่วโมงแล้ว
ยังไปไม่ถึงไหนเลย...เอาละ พอถึงชั้น 3 โดยการเดินบันไดวนขึ้นมา
ก้อจะมาเจอ เจ้าหุ่นเหล็ก จากหนังเรื่อง Laputa ยืนเด่นเป็นสง่า เป็นองค์รักษ์
พิทักษ์อาคารอยู่...ถ่ายรูปคับ ถ่ายรูป อิอิ
และนี่คือ ภาพภายนอกของอาคาร สวยงามดีครับ
และสิ่งต่างต่างที่ประดับอยู่ในที่นี้นั้น อยากเอากลับบ้านด้วยทุกชิ้นเลยครับ อิอิ
หลังจากเดินถ่ายรูป จนอิ่มหนำกันแล้ว ก้อได้ถึงเวลาเสียเงินแบบจริงจังกันซักที
นั่นก้อคือ ร้าน กิฟท์ชอป นั่นเอง...ซื้อเละเลยครับ หมดกับ ตัวโปสเตอร์
ตุ๊กตา และจิปาถะ ไปประมาณ เกือบ สองหมื่นเยน พระเจ้า
โอยจะเป็นลม...
เอาละ...จะเป็นลม ก้อต้องหาน้ำกิน...จ่ายเงินเสร็จ เดินลงมาชั้น 1 เลี้ยวไปด้านหลัง
จะมีร้านกาแฟ ของที่นี่อยู่ ก้อสั่งมาเลย 1 แก้ว Hot cappucino
พอมาเสริฟ์ ก้ออย่างทีเห็นครับ...แทบไม่อยากจะยกกินเลย
อะไรมันจะน่ารักแบบนี้...สาวน้อยจากหนังเรื่อง Kiki
สุดท้าย...ผมก้อได้คำตอบ หลังจากเดินชม Museum จนครบว่า ... ไม่ว่าคุณจะดูหนังของเค้าเรื่องไหน คุณก้อจะพบกับ ความรู้สึกที่เป็นสุข แม้ว่า เนื้อหาของหนังเรื่องนั้น จะเศร้าแค่ไหนก้อตาม
(ก้อคิดดูซิครับ หนังเรื่องแรกที่ผมได้ดูนั้น คือเรื่อง Grave of the Firefies ซึ่งเศร้ามาก
จนว่ากันว่า ผู้ชายหลายคนดูหนังเรื่องนี้แล้ว..น้ำตาซึม...รวมผมเข้าไปด้วนนะ...ผมมันคนอ่อนไหว)
นี่ยังไม่นับเรื่องอื่นอื่น ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากคนดูมาตลอด ถึงขนาด งานบางชิ้น ยังเคยไปคว้ารางวัล ภาพยนตร์ยอดเยื่ยม ในเวทีระดับออสการ์ (Spirited Away)
...วิญญาณ ประหลาด, ปีศาจน่ารัก, เด็กน้อยที่ต้องต่อสู้กับโลกอันโหดร้าย, ความฝันของเด็กสาว
เรื่องที่อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผล และ อื่นอื่น อีกมากมาย...กลายเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้หลายคน
จดจำและ ประทับใจ ความรู้สึกนี้ เกิดขึ้นอีกครั้ง กับผม ในการไปเยือน สตูดิโอ จิบลิ
และ ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนที่นี้...
คุณจะเป็นเหมือนผม รู้สึกเหมือนผม
เพียงแค่ ก้าวแรกที่เข้าไป....
ปอลิง...คัด 10 หนังเด่นของ สตูดิโอ จิบลิ มาให้ลองหาดูกันนะ
(ยังไม่รวมหนังใหม่ พวก Ponyo เพราะตอนที่เขียนนั้น แปดปีมาแว้ววว)
ข้อมูลเรื่องย่อของหนัง
ต้องขอบคุณ
พี่เกี๊ยง นันทขว้าง สิรสุนทร
ที่ช่วยเขียนให้ครับ
1. Spirited Away (1999)
ไม่มีหนังเรื่องไหนของ จิบลิ ดังไปกว่า ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก เวทีออสการ์ เรื่องนี้แล้ว
เนื้อหาเป็นเรื่องของครอบครัวเด็กหญิง จิฮิโร่ ที่หลุดเข้าไปยังเมืองร้างแห่งหนึ่ง
ซึ่งในนั้นเต็มไปด้วย ปีศาจและตัวละครหน้าตาประหลาด พ่อแม่ของเธอต้องคำสาป
จนกลายเป็นหมู และ เด็กสาวต้องหาทางที่จะทำให้ พ่อของเธอกลับมาเป็นมนุษย์ เหมือนเดิม
หนังเต็มไปด้วย สัญลักษณ์ และลวดลายที่งดงาม ราวกับแฟนตาซีชั้นดี แถมยังคว้ารางวัลหลายแห่ง
ห้ามพลาดครับ กับหนังเรื่องนี้
2. Grave of the Fireflies (1988)
ว่ากันว่า นี่คือหนังที่ทำให้ผู้ชายหลายคน น้ำตาไหล...เป็นงานที่สะเทือนอารมณ์คนดูมากที่สุดเรื่องนึง
พี่น้องสองคน เซโกะ กับ เซตะโกะ สูญเสียแม่ไปอย่างกะทันหันในสงครามโลก
พี่ชายต้องดูแลน้องสาวที่ยังเด็ก แถมยังไม่รู้ว่า ความจริงคืออะไร ทำไมเด็กอย่างเธอ
ต้องไปเป็นเหยือในสงคราม ฉากที่คนดูสงสารตัวละครก้อคือ
ตอนที่เด็กน้อยต้องถูกสารมลพิษ จากสภาพแวดล้อมที่เกิดจากสารเคมี จากสงคราม
ไปดูต่อกันเองคับ...น้ำตาจะไหล ฮือ ฮือ
3. Princess Mononoke (1997)
หมูป่าหน้าตาประหลาดตัวหนึ่ง เกิดอาการคลุ้มคลั่งและอาละวาดในหมุ่บ้านแห่งหนึ่ง
และเมื่อ เจ้าชาย อาชิทากะ จัดการปราบมันได้สำเร็จ เขาก้อได้รับการบอกกล่าว
จากหญิงนักปราชญ์คนหนึ่งว่า แท้จริงแล้ว หมูป่าตัวนั้น โดนมนุษย์ทำร้าย
มันจึงเกิดอาการแบบนั้น...เมื่อเจ้าชายรู้ความจริง จึงเดินทางเพื่อไปค้นหาสิ่งที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด
หนังมีแง่มุมในการวิพากษ์ ความละโมบของมนุษย์ อย่างเห็นได้ชัด
4. Pom Poko (1994)
หมูที่หน้าประหลาดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตามภาษาอังกฤษ เรียกว่า ทานูกิ นั้น
อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่ง แต่เมื่อมันได้รับรู้ข่าวว่า จะมีการก่อสร้างโครงการ
ของมนุษย์บางอย่าง และทำให้พวกมันจะต้องไร้ที่อยู่อาศัย
เรื่องนี้ ทำให้ทางฝูงหมู ต้องช่วยกันจัดการกับผู้เกี่ยวข้อง และใช้วิธี หลอกหลอน
อย่างสนุกสนานต่อคนดู
5. Only Yesterday (1991)
นี่คือหนังอีกเรื่องที่เน้นความอ่อนหวาน และน่ารักของตัวละคร
ทาเอโกะ สาววัย 27 ปี ที่กำลังจะเดินทางไปพักร้อน ยังบ้านญาติ ซึ่งทำเป็นประจำทุกปี
แต่ระหว่างเดินทาง เธอกลับนึกไปถึงอดีต ที่สนุกสนาน และความทรงจำที่งดงามในเยาว์วัย
ไม่ว่า จะเป็นความตื่นเต้นในความรัก , ความรู้สึกที่จะได้กินผลไม้โปรดของเธอ
การรู้จักผ้าอนามัยของผู้หญิง และอื่นอื่น อีกมากมาย สาวสาวน่าจะชอบเรื่องนี้ ได้ไม่ยาก
6. Whispers of the Heart (1995)
ซึซึคุ สาวน่้อยผู้ไร้เดียงสา ซึ่งรักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ และความฝันหนึ่งก้อคือ
การอยากจะเป็น นักเขียน ทว่า เธอเหมือนไม่กล้าลงมือทำ จนกระทั่งได้พบกับ
แมวลึกลับตัวหนึ่ง โดยมีการกระตุ้นความฝัน จากชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ต้องการให้เธอ
เดินไปตามความฝัน หนังใช้ฉากสวยสวย และเพลงประกอบเพราะเพราะ
ทำให้คนดูรู้สึกได้ถึงความน่ารัก ของเรื่องราว
7. Laputa : Castle in the Sky (1986)
ชื่อหนังคือ ชื่อเกาะลอยฟ้า ที่อยู่ในนิยายคลาสสิคของ โจนาธาน สวิฟท์ เรื่อง กัลลิเวอร์ผจญภัย
เนื้อหา เกี่ยวกับ ปาซุ เด็กกำพร้า ที่จู่จู่ วันหนึ่ง ก้อพบว่า มีเด็กหญิงคนหนึ่ง
ลอยลงมาจากท้องฟ้า และเมื่อเขาต้องการที่จะนำเธอไปเพื่อดูแล เขาก้อพบว่า มีกองทัพอยู่สองพวก
ที่ต้องการตัวเธอไป ฝ่ายหนึ่งคือโจรสลัด อีกฝ่ายคือ คนของทางการ
8. My Neighbour Totoro (1988)
จะเป็นอย่างไร ถ้าวันหนึ่ง คุณย้ายบ้านและ เมื่อเข้าสู่สถานที่ใหม่ ดันไปพบสัตว์หน้าตาน่ารัก
และมีรูปร่างคล้าย หมูบวกกระต่าย แต่พอจะจับมัน มันก้อดันหนีเข้าป่าไป
แต่ผลที่ตามมาก้อคือ เจ้าหนูน้อยของครอบครัว วิ่งตามมันเข้าป่าไป
และภาพที่ปรากฏต่อมาก้อคือ เด็กน้อยสร้างมิตรภาพใหม่ ด้วยการนอนหลับ
อยู่บนพุงของเจ้า โตโตโร่ ที่น่ารักนั้นเอง
9. Nausicaa of the Valley of the Wind (1982)
นอซิก้า น่าจะเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่ง ที่มีพลังในการเรียกร้อง และต่อสู้ความเป็นมนุษย์สูง
เพราะตัวละครในเรื่องนี้อย่างเธอ กระตุ้นให้ขาวบ้าน ต้องต่อสู้กับความถูกต้อง
และปกป้องพื้นที่ในการที่จะถูกอำนาจแห่งความชั่วร้ายเข้ามาระราน
หนังเรื่องนี้ถือว่า เป็นเรื่องแรกของ จิบลิ ก้อว่าได้ และเมื่อใครดูเรื่องอื่นอื่น
ก้อมักอยากจะดู ผลงานชิ้นนี้ด้วย
10. Kiki's Delivery Service (1989)
แม่มดสาวน้อย กีกี้ ที่เผอิญมีไม้เท้าที่สามารถจะเหาะเหินเดินอากาศ ไปไหนก้อได้
ว่าแล้ว เธอเลยซุกซนด้วยการรับจ๊อบส่งพัสดุเสียเลย พูดง่ายง่าย ก้อคือ ไหนไหน
ก้อมีของดีอยู่ในมือแล้ว เอามาหารายได้ให้ตัวเองเสียเลย แต่ว่า ภารกิจของเธอ
อาจไม่ใช่เรื่องที่ราบเรียบ เพราะมีเรื่องตลก รออยู่
โฆษณา