เราใช้เวลาเดินกันประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ถึงสระน้ำมรกต ซึ่งเป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่ อยู่ในคูหาเล็กๆ ประมาณด้วยสายตาคงเทียบเท่าห้องนอนขนาดกลางๆ หนึ่งห้อง ตอนที่มาถึง ผมได้ยินเสียงน้ำหยดดังจ๋อมๆ ช้าๆ ซึ่งเสียงนี้บอกชัดเจนว่าหินงอกและหินย้อยในถ้ำนี้ยังไม่ตาย น้ำที่ซึมจากรอยแตกมากมายบนภูเขายังหยดลงมาพอกพูนหินย้อยให้งอกงามตลอดเวลา
เราช่วยกันจัดวางแสงไฟตามมุมต่างๆ ของถ้ำ สิ่งนี้คือส่ิงสำคัญมาก เพราะโถงถ้ำก็เหมือนห้องหับในบ้าน แม้จะถูกสร้างมาอย่างสวยแค่ไหน แต่การจัดแสงที่เหมาะสมจะทำให้ห้องหับเหล่านี้มีความน่าอยู่มากขึ้น
ไฟดวงที่สำคัญที่สุดคือไฟใต้น้ำ ผมวางไฟลงในพื้นน้ำทีละดวงแล้วกดสวิทซ์เปิด แล้วเสียงร้องโหฮาก็ดังขึ้น.. เสียงนั้นคือเสียงของผู้นำทางของเรานี่แหละ คนที่เคยมาที่นี่ทุกวัน แต่เค้าบอกว่าไม่เคยเห็นถ้ำหน้าบ้านตัวเองสวยเท่านี้มาก่อน
น้ำใสๆ ในสระเล็กๆ เมื่อต้องแสงไฟก็กลายเป็นสีเขียวมรกต ยิ่งเมื่อสะท้อนผ่านผิวน้ำไหวๆ เบาๆ ที่เกิดจากหยดน้ำจากหินย้อย แสงพรายพลิ้วที่สะท้อนไปกระทบผนังถ้ำก็ยิ่งดูวิจิตรพิศดารเข้าไปใหญ่
กลางสระน้ำเล็กๆ นี้มีเสาหินต้นใหญ่ปักอยู่ ดูด้วยตาคงเดาได้ว่ามันเกิดจากหินย้อยที่ย้อยลงมาบรรจบกับหินงอกในน้ำ ทำให้สระน้ำเล็กๆ นี้ดูลึกลับ เป็นห้องหับอันรโหฐานที่น่าลงไปแหวกว่ายเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะชุมชนได้กำหนดข้อตกลงกันแล้วว่าจะไม่อนุญาติให้ใครลงไปในสระน้ำมรกต เพื่อรักษาสภาพเอาไว้ให้คงเดิมที่สุด
เราเดินกลับออกมาที่โถงถ้ำแรกเพื่อถ่ายภาพสระน้ำมรกตอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสระนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก และจุดที่เราถ่ายภาพนั้นอยู่สูง และอยู่ไกลกว่าตัวสระน้ำมากๆ มากจนคิดว่าไม่มีไฟดวงไหนจะให้แสงสว่างได้ไกลขนาดนั้น จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือคนนำทางให้ลงไปช่วยวางไฟตามตำแหน่งต่างๆ
ถ้าไม่มีความมืดมิดแล้ว เราจะไม่เข้าใจความสวยงามของแสงสว่าง
ขณะเรากำลังจัดไฟ โลกทั้งโลกใต้พิภพนั้นอยู่ภายใต้ความมืด แต่เมื่อไฟดวงใหญ่ทั้งสองดวงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง มันดูเหมือนเรากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งชั้น Box Seat ของโรงอุปรากรแล้วเห็นไฟส่องสว่างบนเวทีช้าๆ เผยให้เห็นสระน้ำที่สวยงามอย่างกับฉากสระนางนโนราห์บนสวรรค์ และฉากหลังที่มีหินย้อยสวยงามเหมือนม่านภูษาอันพริ้วไหว
ตอนนั้นหัวใจผมเต้นแรง ไม่ใช่เพียงเพราะภาพตรงนั้นมันสวยมาก แต่เพราะแบตเตอรี่ของไฟทั้งสี่ดวงกำลังจะหมดลง และผมกลัวว่าจะไม่ได้ภาพนั้นกลับมา