2 พ.ค. 2020 เวลา 00:16 • ท่องเที่ยว
Ep .2 🌸Venice of the North 🌸อยู่ที่ไหน ใครรู้จักบ้าง?
ลำคลองซอกเล็ก ซอยน้อย แคบเสียจนเรือสวนกันไม่ได้ ลดเลี้ยวไปท่ามกลางตึกอิฐ และสะพานโค้ง ยอดโบสถ์แหลมพุ่งชี้ขึ้นฟ้า พามนุษย์แหงนมองคอตั้งบ่า อ้าปากตะลึง ตรึงใจกับกลิ่นไอ ยุคกลางของยุโรป
นี่ถ้ามีอัศวินควบม้าเลียบชายฝั่งคลองโผล่ขึ้นมา ก็คงไม่แปลกใจ เหมือนนั่งเรือข้ามกาลเวลากลับไปสู่ยุคทองของเมือง Bruge —นี่คือ “เวนิสแห่งภาคเหนือ “ ของยุโรป หรือ “Venice of the North “นั่นเองค่ะ
นั่งเรือฝ่าละอองฝน ล่องคลองเมือง Bruge
วันที่เราเดินทางไป Bruge ฝนตกพรำทั้งวันเลยค่ะ ฟ้าไม่เป็นใจ แต่เราก็ต้องลุยไปตามแผน เพราะที่นี่คือ ไฮไลท์ ปักหลักจุดหมายไว้ว่า ต้องมาล่องเรือในเมืองเล็ก น่ารักๆนี้ให้ได้
เดิน เดิน เดิน และเดิน
จะสัมผัสความงามของ Bruge ต้องเตรียมร่างกายไว้ให้พร้อมค่ะ ให้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศ ลงเดินสูดอากาศเย็นสดชื่น
ตึกสไตล์ step-gable เอกลักษณ์ของ Bruge
เริ่มตั้งแต่ ศตวรรษที่ 9 พวกViking มาก่อร่างสร้างเมือง ที่อยู่ริมทะเลเหนือ ชื่อ Bruges ( Brugge) ซึ่งเป็นคำมาจากภาษาสแกนดิเนเวียโบราณ “Brugge” ที่แปลว่า ท่าเรือ หรือ ที่จอดเรือ
แม่น้ำ Zwin เชื่อมต่อเมืองนี้กับทะเลเหนือ เมืองจึงเจริญอย่างรวดเร็ว เป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญ ไปยังประเทศต่างๆ
เรามาตามดูชีวิตของเมืองนี้ดูซิว่าเป็นอย่างไร
โอ! ชีวิตเมืองก็มีขึ้น มีลง เหมือนชีวิตคนเช่นกันค่ะ ไต่ขึ้นถึงระดับสูงสุด ตกต่ำ แล้วก็โงหัวขึ้นมาใหม่
 
ศตวรรษที่ 12 เมืองBruge มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนติดต่อค้าขายผ่านท่าเรือ ต่อมา แม่น้ำ Zwin เริ่มตื้นเขิน ผู้คนเริ่มไปมาหาสู่กันทางบกมากขึ้น แต่ Bruge ยังคงสถานะเป็นศูนย์กลางการค้าผ้าคุณภาพดี ที่ผลิตได้จากเมืองในแถบ Flanders ละแวกรอบๆนั้นได้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือเป็นศูนย์กลางการทอผ้าลูกไม้ด้วยมือ ที่นำพาผู้หลงใหลงานศิลปะบนผืนผ้าให้มาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย
แหล่งทอผ้าลูกไม้ ลายละเอียดยิบ
ศตวรรษที่ 14 Bruge กลายเป็นแหล่งโกดัง เก็บสินค้า ให้กับหลายๆประเทศ ในแถบยุโรป มีตัวแทนการค้าของอิตาลี. สเปน และเยอรมัน อยู่ด้วยกัน เวลาเดินไปในเมืองจึงได้ยินเสียงพูดคุย ด้วยสำเนียงหลากหลายภาษา พอๆกับที่มีสินค้าชั้นเยี่ยม ให้เลือกชม ช้อป ใช้
ศตวรรษที่ 15 ความมั่งคั่งของ Bruge จากการค้าผ้าเริ่มเสื่อมลง เพราะมีท่าเรือที่ใหญ่กว่า มาเป็นคู่แข่ง คือเมือง Antwerp
แต่ศิลปะ และสถาปัตยกรรม ยังคงรุ่งเรือง ด้วยโรงเรียนสอนวาดภาพ สไตล์ Flemish เช่น Anthony Van Dyck
งานศิลป์ปฏิมากรรม ริมฝั่งคลอง
เมื่อขึ้นถึงยอดสูงสุด ก็ค่อยๆไต่ลง
สิ้นสุดศตวรรษที่ 16 เมือง Bruge ไม่เหลือร่องรอยของความเกรียงไกร เพราะมีเมืองใหญ่กว่า อย่าง Antwerp มาเป็นคู่แข่ง
Bruge กลายเป็นเมืองที่ ยากจนที่สุดในเบลเยี่ยมในกลางศตวรรษที่ 18 !
แต่Brugeก็กลับฟื้นคืนความมีชีวิตชีวา ขึ้นมาใหม่ ในศตวรรษที่ 20 ในฐานะเมืองจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก
ต่างหลั่งไหลเข้ามาชมศิลปกรรม ความงาม และ ความรุ่งเรืองของยุคสมัยกลาง ที่ Bruge ยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดี
ปราสาทสวยริมน้ำ
ก้าวเข้ามาในเมือง เหมือนก้าวข้ามเวลากลับไป ยุคที่การค้ายังเฟื่องฟู กลิ่นไอ รถม้าบนถนนหิน และลำคลองเล็กๆ ที่เป็นทางสัญจรหลักในเมือง เล็กๆ น่ารักนี้ จนได้รับสมญาว่า Venice of the North
หลงเสน่ห์เมือง Bruge อีกเมืองแล้วค่ะ
หน้าบ้านที่เป็นสไตล์ step gabled และ อิฐที่มาเรียงเป็นส่วนโค้ง filigree arch มาจากยุค ศตวรรษที่ 16-17 และตกทอดมาจนถึง ศตวรรษที่ 19-20
ขอจบท้ายตอนนี้ด้วย ภาพนี้ค่ะ
ขณะที่เดินดูร้านช็อคโกแลต ในตลาดกลางเมือง Bruge พลันสายตาก็ไปสะดุดกับขนมชิ้นนี้ค่ะ ข้าวพองรสช็อกโกแลต!
Rice Waffle : milk and white chocolate
ชิ้นละ 1.5 ยูโร ก็ประมาณ 50 บาท ได้กินชิ้นเดียวเองนะคะ
ถ้าเป็นที่เมืองไทย ก็ซื้อได้เต็มถุงล่ะค่ะ 😀😀😀
ข้าวพอง ขึ้นห้างที่ Bruge ชิ้นละ 50 บาท!
🌺ยังมีต่อค่ะ🌺
ถ้ามีผู้ติดตาม ก็จะมีพลังในการเขียนตอนต่อๆไป
แต่ยังไง ก็ยังจะเขียนอยู่ดี เพราะเรา “เขียนตามใจ ทำตามชอบ” ค่ะ ❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา