2 พ.ค. 2020 เวลา 04:31 • สุขภาพ
มะเร็งผิวหนัง ไม่ร้าย ไม่ตาย แต่ "อาย" จริงๆ นะ (Skin cancer)
"จากนี้ไป คุณต้องมาแก้ผ้าให้หมอตรวจละเอียดทุก 6 เดือน" ทำไมหมอถึงพูดอย่างนั้น
เพราะวันนี้ มาว่ากันด้วยเรื่องของ "มะเร็งผิวหนัง" ค่ะ
ตอนที่หมอบอกว่า “คุณเป็นมะเร็ง” เราเชื่อว่า นี่เป็นคำพูดที่คงไม่มีใครในโลกนี้อยากได้ยิน แต่เราเชิดหน้า ยิ้มรับกับคำพูดนี้ได้อย่างสงบที่สุด (แถมยังอาจจะเผลอทำหน้าทะเล้นใส่หมอนิดนึงด้วย)
ไม่ใช่ว่าจะเก่ง หรืออวดดีกว่าคนอื่น แต่อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้าที่จะได้รับทราบผลการตรวจจากคุณหมอ ได้ค้นคว้าข้อมูล อ่าน อ่าน และอ่านมาอย่างมากพอ จนทำให้เชื่อได้ว่า แม้จะเป็นมะเร็ง แต่ความเจ็บป่วยครั้งนี้ ก็เป็นเรื่อง (ค่อนข้าง) เล็กน้อย และคงจะไม่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรนัก
หากเปรียบเทียบกับผู้ป่วยมะเร็งมากมายหลายประเภท “มะเร็งผิวหนัง” ไม่ได้เลวร้ายเกินเยียวยา
เราเริ่มพบว่า ผิวหนังบริเวณหลังแขนซ้าย เรื่มมีสีแปลกๆ คือ สีเข้มกว่าผิวหนังบริเวณอื่น และมีลักษณะแข็งกระด้างเป็นวงเล็กๆ ขนาดประมาณ 0.5 เซ็นติเมตร และอาจจะเพราะเป็นคนที่ค่อนข้างรักสุขภาพ เราไปหาหมอที่โรงพยาบาลตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ.2556
ในขณะนั้น แพทย์ที่ได้พบ บอกว่า ไม่มีปัญหาอะไร เป็นเพียง “กระ” ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเท่านั้น แม้เราจะขอให้หมอเอามันออก แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นก็บอกว่า ไม่จำเป็น เพราะดูท่าทางแล้ว เป็น "กระ" ที่เกิดจากกรรมพันธุ์ และอาจจะเกิดขึ้นได้อีกหลายจุด ให้เฉยๆ กับมันไปเสียก็หมดเรื่อง
แต่หลังจากนั้น เจ้าผิวหนังบริเวณเล็กๆ นั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อมาเรื่อยๆ จากที่เป็นผิวเนื้อที่แข็งกระด้าง ก็ปริแตก จนมีลักษณะเหมือนสะเก็ดแผล ขนาดประมาณ 1 เซ็นติเมตร ซึ่งเรายังไม่เห็นถึงความน่ากลัวของมัน จนกระทั่งแขนไปครูดกับเบาะรถ ทำให้สะเก็ดแผลนั้นเปิดออก นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึก “เจ็บ” และประหลาดใจ ที่สะเก็ดแผลนั้นเพียงแค่เผยอ แต่ไม่หลุดออกไปเหมือนสะเก็ดแผลปกติ
เมื่อเจ็บมากขึ้น เราเดินเข้าห้องพยาบาล เพื่อขอให้คุณพยาบาลผู้อารีช่วยเอาสะเก็ดแผลออก และตอนนั้นเอง ที่ได้รู้ว่า มันไม่ออกไปง่ายๆ เพราะแม้จะเห็นผิวนอกเป็นเพียงสะเก็ดแผลเล็กๆ แต่ใต้ลงไปในผิวหนัง มันมี “ราก” ลึกลงไปอีก ทำให้มันกลายเป็นสะเก็ดแผลที่ไม่ยอมไปไหน และเจ็บจนน้ำตาร่วง
คนที่ไม่เข้าใจมองเรายิ้มๆ อาจจะขบขันว่า กับแผลขนาดเล็กนิดเดียว เรายังทำท่าเจ็บได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ หากไม่ได้มาเจ็บด้วย ก็คงไม่เข้าใจว่า คนแต่ละคน มีแรงต้านทานต่อความเจ็บปวดที่ต่างกัน และที่สำคัญ สะเก็ดแผลที่เห็น มันไม่ได้มีเท่าที่เห็น แต่มันเป็นเหมือนก้อนน้ำแข็งขั้วโลก ที่โผล่ยอดมาให้ได้ทักทายกันเพียงเล็กน้อย แต่ส่วนที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรนั้น เป็นก้อนน้ำแข็งใหญ่มหึมาที่คนอาจจะมองข้าม
แผลของเราก็เหมือนอย่างนั้น
เราตัดสินใจไปพบหมออีกครั้ง แต่คราวนี้ ขอเปลี่ยนหมอ เพื่อความมั่นใจ
หมอคนใหม่ที่ได้พบ มองแผลแล้วก็บอกว่า อยากให้ตัดมันออก และส่งชื้นเนื้อไปตรวจ
หมอใช้มีดฝานส่วนที่เป็นเหมือนสะเก็ดแผลออก และใช้ไฟฟ้าจี้บริเวณที่เป็นราก จากนั้นปิดแผลเอาไว้ ซึ่งก็ปรากฎว่า เลือดซึมออกจากแผลต่อมาอีกหลายวัน (หมอบอกว่า บริเวณที่เป็นแผลนั้น มีเส้นเลือดฝอยไปเลี้ยงมากกว่าที่คิด) และเมื่อเปิดแผลออกมาในอีก 3-4 วันต่อมา มันก็บวมแดง เหมือนแผลอักเสบ ดูน่ากลัว แต่ก็คลายความน่าวิตกลงเรื่อยๆ เหลือแผลขนาดเล็กๆ ภายใน 1 สัปดาห์
แต่ช่วงเวลาของการรอผลตรวจชิ้นเนื้อ 2 สัปดาห์นั้น ร้ายแรงกว่า และอดคิดไม่ได้ว่า จะดีกว่านี้ หากหมอผู้วินิจคนแรกไม่ผิดพลาด และได้รับการรักษามาแต่แรก
แต่เมื่อการวินิจฉัยแรกผิดพลาด จากแผลเล็กๆ ก็กลายเป็น "มะเร็งผิวหนัง”
มันไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะรับมือ
สิ่งที่จะบอกกับทุกคนก็คือ อย่าชะล่าใจ แม้จะเกิดสิ่งผิดปกติแค่เพียง "เล็กน้อย" ในร่างกาย และที่สำคัญ หมอคนเดียว ไม่เคยพอ เชื่อเหอะ
หลังจากผลแล็ปกลับมา และยืนยันแน่นอนแล้วว่า เราเป็น มะเร็งผิวหนัง แม้จะเห็นชัดๆ จุดเดียว แต่ใครจะรู้ว่ามันมีกี่จุดกันแน่ในตัวอันอ้วนพี และมีพื้นที่เยอะของเรา ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ สำรวจทั่วร่างกาย สุดท้ายก็เจอ "จุดน่าสงสัย" อยู่อีก 2 แห่ง คือ น่องขวา และแขนซ้าย ซึ่งยังเป็นเพียงร่องรอยแบบที่น่าจะเรียกได้ว่า "เพิ่งตั้งไข่" งานนี้ง่าย หมอใช้ไนโตรเจนเหลวที่เย็นจัดพ่นไปที่จุดต้องสงสัยนั้น เพื่อเอาเนื้อส่วนนี้อออกไปแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เติบโตเป็นแผลใหญ่เหมือนที่เป็นแผลแรก
ภาพนี้คือผลของการใช้ไนโตรเจนเหลว กำจัดเซลส์ที่คาดว่ากำลังจะกลายเป็นมะเร็ง แสบๆ คันๆ ดี เป็นการ "ฆ่าเซลส์ด้วยความเย็น" และเราได้ความรู้ใหม่ว่า ไอ้ไนโตรเจนเหลวนี่ นอกจากพวกเชฟดังๆ จะเอาไว้ทำอาหาร เช่น ทำไอติมอย่างเร็วแล้ว ยังฆ่ามะเร็งระยะตั้งไข่ได้ด้วย
ส่วน "แผลเก่า" ที่แขน หมอส่งไปห้องผ่าตัดเล็ก เพื่อ "คว้าน" เนื้อร้ายออกให้หมด
หมอศัลยกรรมผู้ทำหน้าที่คว้านมองแผลแล้วบอกว่า การเป็นแผลที่แขน ก็ลำบากนิด ตรงที่ไม่ค่อยมีเนื้อมากนัก (ไม่เหมือนพุง ที่เนื้อเยอะเกิ๊น) หมอไม่รู้ว่า เมื่อคว้านออกไปแล้ว จะเอาเนื้อที่ไหนมาเย็บปิดแผล (นี่ขนาดอ้วนแล้ว ถ้าคนผอมๆ คงจะแย่กว่านี้) สุดท้าย หมอบอกว่า คงต้องทำให้แผลใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น นั่นคือ บริเวณที่เป็นเนื้อร้ายใหญ่ประมาณ 2 ซม. แต่หมอต้องผ่าเนื้อออกใหญ่ประมาณ 5 ซม. เพื่อทำให้มีพื้นที่มากพอสำหรับการเย็บปิดแผล
เอาล่ะซิ ทีนี้ จากแผลเล็ก ก็เป็นแผลใหญ่ แต่ก็อาจจะเป็นข้อดีอยู่อย่างหนึ่งว่า เป็นการคว้านเอาเนื้อร้ายออกมาได้เด็ดขาด หมดจดแน่นอน คราวนี้ เย็บ 8 เข็ม และที่ตลกคือ หมอต้องพยายาม "หยิบ" เนื้อที่มีน้อยนิดมาเย็บ ทำให้ตอนนี้ แขน "เบี้ยว" ไปนิดหน่อย เพราะการหยิบเนื้อไปเย็บของหมอ หมอยังหัวเราะฮ่าๆ บอกว่า ก็ดีนะ เหมือน "ผอม" ลงไปนิดนึง
ว่าแล้วก็ได้แผลมาประมาณนี้ หวาดเสียวอยู่เหมือนกัน แล้วพอกลับไปหาหมอผิวหนังอีก ก็มาถึงจุดพีค เมื่อหมอก็พูดขึ้นมาว่า
"จากนี้ไป คุณต้องมาแก้ผ้าให้หมอตรวจละเอียดทุก 6 เดือน"
หมอพูดยิ้มๆ แต่เราสะดุ้งเฮือก ดีนะ หมอเป็นผู้หญิง ไม่งั้นคงขอบอกลา 555
ว่าแล้ว หมอก็สั่งให้ถอด ถอดให้หมด แล้วไอ้การแก้ผ้าให้หมอตรวจมะเร็งผิวหนังนี้ โอ้โห มันเขินจนไม่รู้จะวางมือวางไม้ไว้ตรงไหน เพราะกรรมวิธีมันแสนจะน่าอายจริงๆ คือ แก้ผ้าให้หมด แล้วไปยืนกลางแสงไฟที่ส่องสว่างจ้ามาที่ตัวเรา เพื่อให้หมอเห็นชัดๆ และหมอคงกลัวชัดไม่พอ ยังเอาแว่นขยายส่องไปทีละจุดๆ ทั่วตัวอีกต่างหาก (เหมือนหมออยากเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักสืบ หรือหมอเป็นแฟน "เชอร์ล็อค โฮล์มส์" หว่า) หมอส่องดูตัวซะถี่ถ้วน เรียกว่า ไม่ต้องอายกันล่ะ มันพ้นจุดนั้นไปนาน....น...น....แล้ว (อืมม์...การแก้ผ้าให้หมอดูก็ทำให้รู้สึกว่า โชคดีวุ้ย ที่คราวนี้เจอหมอผู้หญิงผู้ยิ้มแย้มแจ่มใส)
ผลการตรวจวันนี้ เจอจุดต้องสงสัยอีก 1 จุด บริเวณ....เอ่อ...หน้าอก
หมอถามว่า คิดมากไหม หากต้องเป็นแผลตรงนี้ ไอ้เราก็ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า ตามสบายหมอ จะกี่แผลก็เฉยๆ วันนี้เลยได้แผลที่หน้าอกกลับมาจากการรักษาด้วยไนโตรเจนเหลว บอกตามตรง เจ็บซะน้ำตาแทบร่วง ทั้งๆ ที่ทำมาหลายแผลแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะเนื้อตรงหน้าอกมันไม่เหมือนบริเวณอื่น เลยเจ็บมาก และเจ็บต่อมาอีกหลายชั่วโมง
แล้วก็ยังมีที่แขนขวา ได้ผ่าคว้านเซลส์ที่ไม่เหมาะสมออกอีก 1 จุด เย็บ 3 เข็ม จิ๊บๆ
ขาขวา ที่เคยรักษาด้วยไนโตรเจนเหลวไปแล้ว หมอบอกว่า ไม่เคลียร์ วันนี้เลยต้องทำใหม่
พอหลุดจากหมอมาได้ ก็คิดใจในว่า คราวหน้า ซื้อกางเกงในลายการ์ตูนมาดีไหมนะ ตอนถอดให้หมอตรวจ จะได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย 55
จากนั้น รอไม่นาน ก็ได้ตัดไหม ของแผลที่ผ่าคว้านไป ได้ผลออกมาเหมือนตีนตะขาย และยังเป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้
ถึงตอนนี้ อยากให้คำคำแนะนำเอาไว้เล็กน้อย จากที่หมอบอกมา เพื่อให้ทุกท่านได้สำรวจตัวเอง คือ เมื่อเราอายุถึงระดับหนึ่ง เช่น 40 ปีขึ้นไปแล้ว เราก็ควรจะตรวจตัวเองว่า มีผิวหนังบริเวณไหนผิดปกติหรือไม่ อย่างไร เช่น สีเปลี่ยน เกิดไฝที่ผิดปกติ ก้อนเนื้อผิดปกติ เพื่อจะได้ไปหาหมอแน่เนิ่นๆ
วิธีการก็ไม่ยากเย็นอะไร แค่มองไปรอบๆ ตัว หากไม่ถนัด ก็ส่องกระจก ซึ่งถึงตรงนี้ อยากเตือนสาวๆ (และไม่สาว) ว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ เวลาสำรวจตัวเอง มักจะมี "จุดบอด" ที่มองไม่เห็น ทั้งๆ ที่อยู่ไม่ไกลตาสักเท่าไหร่ นั่นคือ บริเวณ "ใต้หน้าอก" หรือจะพูดให้ชัดๆ คือ "ใต้เต้านม" ซึ่งเวลาก้มลงมอง จะมองไม่เห็น (ก็แล้วแต่ไซส์ของแต่ละท่านล่ะ บางคนอาจจะเห็นก็ได้ 55)
ดังนั้น ใต้เต้านม จึงเป็นจุดบอด ที่ผู้หญิงมักมองข้าม ไม่เคยได้สำรวจตรวจตรา ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ทางออกง่ายนิดเดียว ส่องกระจก ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ก็จะมองเห็นชัด (ย้่ำ แล้วแต่ไซส์ของแต่ละท่าน บางคน ยกมือแล้วก็ยังอาจมองไม่เห็น ก็ต้องใช้มือช่วยยกขึ้นกระมัง หุหุ)
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวัย 40 ปีขึ้นไป ผิวหนังหลายส่วนจะเปลี่ยนสีไปเองบ้างอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลไปเสียทั้งหมด หากพบว่า มีตรงไหนเปลี่ยนสี หรือผิวไม่ปกติ ก็สังเกตต่อเนื่อง ว่าเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือคงสภาพเดิม ส่วนใหญ่จะคงสภาพ ก็ไม่น่าห่วง แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เช่น ใหญ่ขึ้น เกิดเป็นแผลที่ไม่หาย ก็น่าจะลองหาหมอดูสักหน่อย
ด้วยความปรารถนาดี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา