Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คลังความรู้ by SpokeDark
•
ติดตาม
2 พ.ค. 2020 เวลา 04:55 • ประวัติศาสตร์
'เจิ้งเหอ' มหาขันทีผู้ยิ่งใหญ่ ที่ถูกยกให้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
ย้อนกลับไปในช่วงต้นราชวงศ์หมิง (ประมาณปลายศตวรรษที่ 14) ดินแดนในแถบมณฑลยูนนานนั้นยังเป็นของชาวมองโกล ซึ่งถือว่าเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายที่ยังไม่ถูกราชวงศ์หมิงยึดครอง ดินแดนแถบนี้ส่วนใหญ่จะมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมากโดยสืบเชื้อสายมาจากชาวเอเชียกลาง ซึ่งพวกเขาจะเรียกตนเองว่า “ชาวหุย”
ในปี 1371 เด็กชายผู้สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพมองโกลนามว่า “หม่าเหอ” หรือชื่อในภาษาอาหรับว่า “มูฮัมมัด อับดุลญับบารฺ” ได้ถือกำเนิดขึ้นในตระกูลขุนนางมุสลิมที่อาศัยอยู่ในมณฑลยูนนาน หม่าเหอเป็นเด็กชายที่เฉลียวฉลาด พูดจาฉะฉาน อีกทั้งยังมีร่างกายสูงใหญ่กว่าเด็กรุ่นๆ เดียวกัน จึงได้รับความเอ็นดูจากคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก แต่ทว่ากองทัพแห่งราชวงศ์หมิงซึ่งนำโดย “จักรพรรดิหมิงไท่จู” ได้ยกทัพมาตีดินแดนแห่งนี้เพื่อยึดครองและประสบความสำเร็จ
เด็กชายหม่าเหอต้องพลัดพรากจากครอบครัวโดยถูกกวาดต้อนไปยังเมืองหลวงเพื่อทำการ “ตอน” ให้เป็นขันที โดยได้รับหน้าที่ให้รับใช้ “องค์ชายจูตี้” พระราชโอรสองค์ที่ 4 แห่งจักรพรรดิหมิงไท่จู และด้วยความเฉลียวฉลาดของหม่าเหอรวมไปถึงร่างกายที่สูงใหญ่กว่า 7 ฟุต น้ำหนักกว่า 100 กก. ทำให้หม่าเหอกลายเป็นขันทีคู่ใจขององค์ชายจูตี้ในศึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น
1
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ภายหลังจากจักพรรดิหมิงไท่จูได้สวรรคต องค์ชายจูตี้ได้ทำการช่วงชิงราชบัลลังก์จากพระราชนัดดาจนสำเร็จและได้ทำการปราบดาภิเษกตนเองให้เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิงมีพระนามว่า “จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่” ซึ่งหม่าเหอได้มีส่วนร่วมในการทำการครั้งนี้จึงได้รับการปูนเหน็จให้เป็นหัวหน้าขันทีและได้รับพระราชทานแซ่ใหม่ มีชื่อว่า “แซ่เจิ้ง” หม่าเหอจึงถูกเรียกว่า “เจิ้งเหอ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
วีรกรรมของเจิ้งเหอที่ถูกบันทึกให้เป็นตำนานเริ่มต้นเมื่อจักพรรดิหมิงเฉิงจู่มีรับสั่งให้แต่งตั้งกองเรือที่ประกอบไปด้วย เรือสินค้า เรือรบร่วม 300 ลำ ซึ่งมีลูกเรือทั้งหมด 27,870 คน ซึ่งนับว่าเป็นกองเรือที่มโหฬารที่สุดในขณะนั้น โดยมีเป้าหมายให้ออกไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ (อีกนัยหนึ่งคือการขยายอิทธิพลของราชวงศ์หมิงไปทั่วโลก) ซึ่งเจิ้งเหอนั้นถูกมอบหมายให้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพสูงสุดคอยควบคุมให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง
การเดินทางของเจิ้งเหอนั้นเริ่มต้นในปี 1405 โดยกองเรือออกจากนครหนานจิง ล่องเรือลัดเลาะไปตามที่ต่างๆ เริ่มต้นด้วยอาณาจักรจามปา (เวียดนามในปัจจุบัน) เรื่อยไปจนถึงเมืองกาลิกัต (ประเทศอินเดีย) ซึ่งในการแวะดินแดนแต่ละที่นั้นได้มีการส่งทูตไปติดต่อกับดินแดนต่างๆ ให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมายังกองเรือเพื่อนำส่งแผ่นดินหรือติดต่อทำการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ เช่น ไม้หอม สมุนไพรหรือเครื่องสัมฤทธิ์ ซึ่งในการเดินเรือครั้งแรกนี้ใช้เวลากว่า 2 ปีกว่าจะวนกลับมายังประเทศจีน
3
การเดินเรือครั้งแรกนี้เปรียบเสมือนการทดสอบกองเรือว่าจะสามารถเดินทางได้ปลอดภัยหรือไม่ มีอุปสรรคแค่ไหนซึ่งต้องยอมรับว่าการเดินเรือด้วยจำนวนเรือที่มากกว่า 300 ลำไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำกันได้ แต่ทว่าแม่ทัพเจิ้งเหอนั้นทำสำเร็จ จึงเริ่มต้นออกตระเวนไปทั่วทวีปเอเชียซึ่งการเดินทางใน 3 ครั้งแรกนั้นเป็นการเดินทางไปมาระหว่างประเทศจีนและดินแดนในเอเชีย
การเดินทางของแม่ทัพเจิ้งเหอในแต่ละครั้งนั้นเรียกได้ว่าเป็นการผจญภัยโดยแท้จริง หลายครั้งที่กองเรือของเจิ้งเหอนั้นต้องพบกับโจรสลัดซึ่งแน่นอนว่า กองโจรสลัดตัวจ้อยจะมาสู้อะไรกับกองเรือขนาดมโหฬารเช่นนี้ได้ เหล่าโจรสลัดจึงต้องย่อยยับและถูกจับส่งดินแดนใกล้เคียงให้สำเร็จโทษ บางครั้งยังมีการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของอาณาจักรต่างๆ ด้วยการส่งทหารเข้าไปช่วยอีกฝ่ายแล้วแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของราชวงศ์หมิงดูแลพื้นที่นั้นๆ แทนขั้วอำนาจเดิม แต่ที่ดูจะเป็นความโรแมนติกนั่นก็คือเรื่องราวของสมาชิกของกองเรือที่ไปพบรักกับสาวๆ พื้นเมืองแล้วต้องลาจากกันเมื่อเรือออกจากท่าด้วยความอาลัย
หลังจากเดินทางสำรวจดินแดนในแถบเอเชียจนทะลุปรุโปร่งแล้วนั้น คราวนี้จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ต้องการที่จะให้แม่ทัพเจิ้งเหอไปให้ไกลกว่านั้น การเดินทางตั้งแต่ครั้งที่ 4 เป็นต้นมาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปยังอ่าวเปอร์เซียไล่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงยังชายฝั่งทะเลตะวันออกของทวีปแอฟริกา ซึ่งคราวนี้มีวัตถุประสงค์ชัดเจนกว่าเดิมคือการค้นหาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เช่น สินค้า สัตว์แปลกๆ ซึ่งราชสำนักต้องตกตะลึงกับบรรดาสัตว์แปลกๆ จากแอฟริกา เช่น ยีราฟ เสือดาว สิงโต จนเป็นที่ตื่นตาของผู้ที่พบเห็น
การเดินทางของเจิ้งเหอนั้นจบสิ้นในครั้งที่ 7 ขณะที่กำลังล่องเรืออยู่กลางทะเลในปี 1432 ขณะที่เขามีอายุได้ 62 ปี ร่างของแม่ทัพเจิ้งเหอถูกทิ้งลงในทะเลตามวิถีของชาวเรือโดยนำเสื้อผ้าและปอยผมกลับมาทำพิธีที่บ้านเกิด
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
สิ่งที่แม่ทัพเจิ้งเหอทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้นึกถึงก็คือประวัติศาสตร์ของการเดินเรือที่ยิ่งใหญ่กว่านักสำรวจคนใดจะทำได้ อีกทั้งแผนที่เดินเรือของแม่ทัพเจิ้งเหอนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นแผนที่เดินเรือที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังมีหลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า “แม่ทัพเจิ้งเหอเป็นผู้ที่ค้นพบทวีปอเมริกาก่อนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส” และแม่ทัพเจิ้งเหอก็ยังถูกเคารพในหมู่นักเดินเรือโดยยกให้เป็นเทพเจ้าที่เรียกกันว่า “ซำปอกง” โดยไม่สนใจกับคำว่า “ขันที” เลยแม้แต่น้อย
8 บันทึก
28
1
8
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ประวัติศาสตร์ สงคราม และการปกครอง
8
28
1
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย