2 พ.ค. 2020 เวลา 14:09 • ไลฟ์สไตล์
How Law Of Attraction Changed My Life?
1
อะไรคือจุดเริ่มต้นของการค้นพบเกี่ยวกับเรื่องกฏแห่งแรงดึงดูด และจากจุดเริ่มต้นนี้ ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปได้อย่างไร
ย้อนไปมากกว่า 10 ปีที่แล้ว ได้บังเอิญอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของใครอีกหลาย ๆ คนที่เริ่มเข้ามาสนใจเกี่ยวกับกฏแห่งธรรมชาติ กฏที่ถูกอธิบายว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเรา นั่นก็คือ หนังสือที่มีชื่อว่า “The Secret”
1
ครั้งแรกที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จำได้ว่าสิ่งที่นำมาใช้เลยทันทีคือ การหยุดพูดคำที่เป็นลบ เช่น เหนื่อย แย่ ยุ่ง เบื่อ เป็นต้น เพราะหนังสือเล่มนั้นบอกเราไว้ว่า พูดสิ่งใด เราจะยิ่งได้สิ่งนั้น นั่นคือสิ่งที่ได้มาจากหนังสือ แต่วันเวลาผ่านไป ก็ไม่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอีก และอาจด้วยความที่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่หนังสือพยายามอธิบายกับเรามากนักในตอนนั้น จวบจนเวลาผ่านไป ได้พบเจอหลากหลายเรื่องราวในชีวิตที่เข้ามา เมื่อสะสมนานเข้าก็เริ่มหาทางออกไม่เจอ เป็นแบบนี้ไปอยู่สักระยะ จนถึงนาทีที่ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ต้องการในขณะนั้น จำได้ว่านาทีนั้นถามตัวเองว่า จะคิดเหมือนเดิมและมีชีวิตแบบเดิม หรือจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนทุกอย่างใหม่ เผื่อจะมีอะไรดีขึ้น คำตอบในวันนั้นคือ ขอเลือกอย่างหลัง
ในวันที่ตัดสินใจได้นั้นเอง ชื่อหนังสือ The Secret กลับมาลอยอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางครั้งสำคัญเพื่อค้นหาคำตอบ ที่จะปลดล็อกชีวิตให้เป็นไปในแบบที่ต้องการ จากนั้นการเดินทางในการหาคำตอบก็ทำให้พบว่า Law of Attraction เป็นเพียงขั้นแรกของการเดินทาง ที่เป็นสะพานให้ได้ไปพบกับ “Law” หรือกฏแห่งจักรวาลอื่น ซึ่งลึกซึ้งมากกว่าคำว่า Law of Attraction
“Law” หรือ “กฏ” ที่ว่านี้นี่เอง ที่เป็นกุญแจสำคัญทำให้ชีวิตค่อย ๆ ดีขึ้นทุกด้าน หลายเรื่องเปลี่ยนในเวลาเพียงข้ามคืน ตั้งแต่นั้นมา จึงเกิดความสนใจที่จะทำชีวิตให้เป็นไปในรูปแบบที่เรามุ่งมั่นตั้งใจ เกิดความสนุกกับการค้นพบสิ่งใหม่ๆ จึงได้เริ่มศึกษาสิ่งเหล่านี้ลึกขึ้นๆ
เมื่อได้ค้นหาด้วยการอ่าน เรียนรู้ มีโค้ช ทดลองด้วยตนเอง และปฏิบัติอย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ก็เริ่มเข้าใจว่า คำว่า “จักรวาล” ในแบบที่ Law of attraction โดยทั่วไปพูดถึงนั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่างที่เข้าใจ พูดง่ายๆคือ จักรวาลไม่ได้อยู่นอกตัวเรา หากแต่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่กับเราตลอดทุกนาทีต่างหาก และสิ่งมหัศจรรย์ที่เป็นผู้นำพาเกือบทุกเรื่องให้เราต้องพบเจอ นั่นคือ “จิต (mind)” ของเรานั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้แหละที่มีพลังมหาศาลมากกว่าทุกสิ่งภายนอก คล้ายกับที่พุทธศาสนาบอกเราว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว จิตของเรายิ่งใหญ่มากกว่าที่เราเคยคิด เมื่อพบดังนี้แล้ว ทำให้รู้เลยว่าการจะมีชีวิตดีในรูปแบบที่เราอยากจะมี...มันอยู่ตรงหน้าเราเอง
1
หนังสือ The Power Of Your Subconscious Mind ของ Dr. Joseph Murphy เป็นหนังสือเล่มแรก ๆ ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการค้นพบความมหัศจรรย์ของจิต จากนั้นไม่นานหนังสือเล่มนี้ก็ได้พบกับผู้ที่เรียนรู้มาจากครูคนเดียวกันกับ Dr. Joseph Murphy ผู้ที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญในชีวิตของนักคิดคนดัง เช่น Dr. Wayne Dyer หรือนักเขียนที่มีชื่อ เช่น Louise Barley เป็นต้น หลายต่อหลายคนยกให้บุคคลท่านนี้เป็น Mentor หรือหลายคนบอกว่า เปลี่ยนชีวิตได้เพราะบุคคลคนนี้เอง ที่ทำให้คนที่มาศึกษาได้เข้าถึงและเข้าใจมากขึ้นถึงความสำคัญของจิต (ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก) ในแบบที่เรียกว่า Conscious Creation
ค้นพบแล้ว เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
Change my mindset
นี่คือสิ่งแรกที่เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง จากคนที่เคยเข้าใจว่า หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเราถูกกำหนดมาและควบคุมไม่ได้ เปลี่ยนเป็นเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ต้องเจอ คนที่เราพบ สิ่งที่คนต่าง ๆ ปฏิบัติกับเรา ไม่ใช่จากโชคชะตาฟ้าลิขิต พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเรื่องดวง หรือปีชง พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดถึงเจ้ากรรมนายเวร หากแต่เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา นั่นเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเรา (ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก หรือจิตใต้สำนึก หรือจักรวาลที่คุ้นเคยกัน) เป็นตัวนำมาให้เรานั่นเอง นั่นแปลว่า หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ภายนอก เราต้องเริ่มจากเปลี่ยนสิ่งที่ภายใน (ใจเรา) และเรากำหนดชีวิตที่ต้องการจะเป็นได้ หากเรารู้วิธีกำหนดที่ใจ และแน่นอนเมื่อใจดี เราก็เจอสิ่งดีตามมา
I am responsible for everything
ทำให้คิดใหม่ว่า จริงๆแล้ว คนที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ คือตัวเราเองเท่านั้น สุขภาพไม่ดี เพราะใจเราไม่ดี คนปฏิบัติกับเราไม่ดี เพราะตัวเราเอง จึงไม่มีใครทำให้เราเสียใจหรือผิดหวังได้ การเรียนรู้เรื่องนี้ทำให้เลิกกล่าวโทษคนอื่น เลิกการกล่าวโทษสิ่งภายนอก เลิกบ่น เลิกตำหนิ เลิกทุกข์ สามารถหายจากความเศร้าได้โดยสิ้นเชิง เหมือนคำที่ในไบเบิ้ล บอกว่า As within, so without ข้างในใจเราเป็นอย่างไร โลกภายนอกก็เป็นอย่างนั้น เราคิดอะไร เราได้อย่างนั้น เราเชื่อสิ่งใด เราจะเจอแบบนั้น เราไม่ชอบสิ่งใด เราก็จะเจอมากขึ้น เราบ่นใคร เขาจะยิ่งทำกับเรามากขึ้น ความคิดก็เปลี่ยนจากที่เคยคิดว่า ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับเรา มาเป็นเข้าใจว่า ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ อะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นก็เพราะตัวเราเคยคิดอะไรบางอย่างไว้ หรือเคยรู้สึกอะไรไว้ สุดท้ายมันจึงเข้ามาสู่ชีวิตเรานั่นเอง ดังนั้นแล้ว ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรา เราจึงโทษใครไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่สะท้อนทุกอย่างที่อยู่ข้างในเรา ดังนั้น หากเราอยากรู้ว่าข้างในเราเป็นอย่างไร ให้ดูได้จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรานั่นเอง
Everyone is a mirror of you
การค้นพบเรื่องนี้ทำให้เข้าใจว่า จริงๆ แล้วการที่คนปฏิบัติกับเราแบบใด เขาเพียงแต่สะท้อนสิ่งที่เราคิด เรารู้สึก เราเชื่อเท่านั้นเอง ถ้าข้างในใจเราดี เราจะได้รับการปฏิบัติจากคนอื่นดี แต่หากเราพบว่า คนรอบข้างไม่ให้การยอมรับเรา หรือทำให้เรารู้สึกไม่ดี ให้เราสำรวจตัวเอง เราจะพบว่า ลึกๆ แล้วเรารู้สึกไม่ยอมรับบางอย่างในตัวเรา หรือเรามีความรู้สึกไม่ดีบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราหรือกับคนนั้นนั่นเอง ดังนั้นแล้ว คนอื่น ๆ จึงเป็นเพียงผู้ที่ช่วยสะท้อนให้เราได้รู้ว่า จริงๆแล้วเราคิดอย่างไรกับตัวเอง คิดอย่างไรกับคนอื่น คิดอย่างไรกับโลกใบนี้ ความรู้นี้ทำให้เปลี่ยนความเข้าใจตั้งแต่นั้นมาว่า เราเปลี่ยนใครไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า เขาเป็นแบบนั้นเพราะข้างในเรามีบางอย่างที่ต้องแก้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเปลี่ยนที่ตัวเราได้ คนอื่น ๆ ก็จะเปลี่ยนเอง
My world has completely changed
ตั้งแต่ที่เข้าใจความมหัศจรรย์นี้ โดยเริ่มต้นจากการยอมรับ ยอมรับว่าหากเราต้องการให้เรื่องต่างๆเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนโดยแก้ไขสิ่งที่อยู่ข้างในใหม่ทั้งหมด เมื่อยอมรับแล้ว ก็ให้อภัย เมื่อให้อภัยได้แล้ว ก็รู้สึกขอบคุณยินดีต่อทุกสิ่งรอบตัว แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ จึงทำให้ใจมีความสุขได้ง่าย ๆ ฝึกสำรวจจิตตัวเองทุกวัน มีสติเท่าทันความคิดและอารมณ์ของตัวเองตลอดเวลา การอยู่กับปัจจุบันทำให้รู้วิธีการเปลี่ยน energy จากข้างใน คือเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกที่มีต่อผู้คนรอบข้าง ต่อสถานการณ์และเรื่องต่างๆ ในชีวิต ตั้งแต่นั้นมา จากคนที่เคยกังวลง่าย กลายเป็นคนที่ใจสงบ นิ่งเบา เคยน้อยใจง่าย ก็กลายเป็นจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกนั้นครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เคยนอยด์ง่าย กลายเป็นคนที่จิตนิ่งสบาย เปลี่ยนเป็นความสุข ความรัก มีแต่ความรู้สึกดี ๆ ต่อคนทั้งหลาย สิ่งทั้งหลาย และแน่นอนอย่างยิ่ง เมื่อ energy ข้างในเปลี่ยนไปขนาดนี้...โลกภายนอกและเหตุการณ์ในชีวิตก็เปลี่ยนด้วยดีอย่างมหัศจรรย์ 💕💕
Till next time :)
P
โฆษณา