3 พ.ค. 2020 เวลา 08:04 • ไลฟ์สไตล์
How your mind affects your life?
จิตใจ (ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ) ส่งผลต่อชีวิตเราอย่างไร?
จากโพสต์ก่อน มีคนถามว่า ทำไมจึงบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นความรับผิดชอบของเรา แล้วการที่มีคนมาทำไม่ดีกับเราล่ะ เกี่ยวข้องความคิดของเราได้อย่างไร และทำไมจึงบอกให้แก้ด้วยการเปลี่ยนตัวเอง ทำไมถึงไม่แก้ที่คน ๆ นั้น จึงจะขออธิบายแบบนี้ค่ะ
Albert Einstein กล่าวไว้ว่า
“Everything in this world is ENERGY” ทุกอย่างในโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่คือพลังงาน ดังนั้นแล้วความคิด คำพูด ความรู้สึก ความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ก็คือพลังงานเช่นกัน และด้วยหลักการดังกล่าว จึงมีการอธิบายต่อว่า ทุกอย่างในโลกล้วนแล้วแต่เชื่อมถึงกัน เราทุกคนมีความเชื่อมโยงกัน (We are connected) พลังงานความคิดเราส่งถึงกันได้
กระบวนการทำงานของคลื่นพลังงานในควอนตัมฟิสิกส์ บอกว่า คลื่นพลังงานจะดึงดูดกัน นั่นแปลว่า เราส่งความคิดใดออกไป สิ่งนั้นก็จะเหวี่ยงกลับมาหาเรา ไม่ว่าจะทางบวกหรือทางลบ
มีหลักการหนึ่งชื่อ Law of cause and effect ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับทางพุทธเราก็คือ เราคิดสิ่งใด เราได้สิ่งนั้น เราสร้างสิ่งใดไว้ เราย่อมได้รับผลนั้น
ในที่นี้ความคิดคือ Cause หรือเหตุ ส่วนสิ่งที่สะท้อนกลับมาคือ Effect หรือผลลัพธ์
กระบวนการทำงานของ Mind เริ่มต้นจากความคิด —> ความรู้สึก —> ปฏิกิริยา —> ผลสะท้อนกลับ (สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต)
“What you think, you become”
ขยายความว่า เมื่อเราคิดสิ่งใด เราจะได้รับผลนั้น อะไรที่อยู่ข้างในใจเราจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต รวมถึงคนในรูปแบบต่าง ๆ ที่เราต้องเจอ แม้กระทั่งคนใกล้ตัวของเรา
ดังนั้น ทุกคนที่เราพบเจอ ล้วนแล้วแต่เป็นกระจกสะท้อนบอกให้เรารู้ว่า เรามีอะไรอยู่ข้างในใจของเราบ้าง (Everyone is a mirror of you)
1
ขอยกคำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี ที่กล่าวไว้ว่า “เรื่องที่เราเจออยู่ในตอนนี้ มันเคยถูกออกแบบมาแล้วในความคิดของเรา สังเกตให้ดี สิ่งที่เราคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา เราจะเป็นอย่างที่เราคิด ดังนั้น จงคิดแต่เรื่องดีดี”
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นผลมาจากความคิด ความเชื่อ ที่เรามี ลองสังเกตจากสิ่งง่าย ๆ เช่น ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบบางสิ่งบางอย่างในตัวเรา รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองในบางมุม ตัวอย่างเช่น ไม่ชอบรูปร่างของตัวเอง ก็มักจะมีคนมาทักเรื่องรูปร่างให้เรายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ และยิ่งทำให้เรากังวลกับรูปร่างตัวเองมากขึ้นไปอีก หรือถ้าเราชอบบ่นว่างานยุ่ง เราก็มักจะอยู่ในสถานการณ์ที่เจองานยุ่งบ่อย ๆ อย่างน่าประหลาด
มีคนเล่าว่า นาย B เอาเปรียบเขา ทั้งที่เขาช่วยเหลือนาย B การที่เขาช่วยเหลือนาย B ถือเป็นสิ่งดี แต่ทำไมจึงยังถูกเอาเปรียบ
จึงได้ถามเขากลับไปว่า ที่ผ่านมาเคยมีความคิดหรือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเอารัดเอาเปรียบอย่างไรมาบ้าง บุคคลผู้นี้ตอบว่า ก็คิดว่าโลกนี้มีคนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบอยู่เยอะ
ถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านมองเห็นอะไรในความคิดของบุคคลผู้นี้บ้าง ถ้านึกถึงหลักการ Law of cause and effect การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งดีแน่นอน แต่การที่เรามีความคิดเกี่ยวกับเรื่องการเอาเปรียบ ไม่ว่าความคิดนั้นจะเริ่มมาในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต แต่เมื่อความคิดนั้นพัฒนาจนเริ่มเป็นความเชื่อ ความเชื่อนั้นจะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราว่า คนในโลกนี้มักจะเอาเปรียบ ความคิดแบบนี้คือเหตุ (cause) และการที่เขาถูกนาย B เอาเปรียบจึงเป็นผล (effect) จากความคิดเขานั่นเอง
Dr. Joseph Murphy ผู้เขียนหนังสือ The Power Of Your Subconscious Mind พูดถึงจิตใต้สำนึกไว้ว่า อะไรก็ตามที่เราคิดจนกลายเป็นความเชื่อของเราแล้ว จิตใต้สำนึก (subconscious) จะเชื่อตามเราทุกอย่าง และจะนำเรื่องราวต่างๆ มาให้เราได้เจอตามความเชื่อนั้นของเรา
“Whatever your conscious mind assumes and believe to be true, your subconscious mind will accept and bring to pass”.
จึงหมายความว่า แม้เขาจะช่วยเหลือนาย B แต่ถ้าจิตใต้สำนึกมีความเชื่อลึก ๆ ว่า ชีวิตนี้ฉันชอบโดนเอาเปรียบ ทำดีไม่เคยได้ดี หรือเชื่อว่าคนในสังคมนี้มักเอาเปรียบกัน เขาก็จะถูกนาย B หรืออาจจะคนอื่น ๆ มาเอาเปรียบแบบที่เป็นอยู่
วิธีแก้จึงไม่ใช่การแก้ที่นาย B หรือคนอื่นๆ ซึ่งคือปลายเหตุ แต่การแก้ที่ยั่งยืนและเห็นผลจริง คือการแก้ที่ต้นเหตุ ซึ่งคือความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกของตัวเราที่มีต่อเรื่องนี้นั่นเอง
เพราะตราบใดที่เรายังไม่เปลี่ยนตัวเรา เราก็จะเจอสิ่งที่ไม่ปรารถนาอยู่ร่ำไป
Everyone is YOU, therefore no one to change but SELF.
โฆษณา