4 พ.ค. 2020 เวลา 23:00 • ธุรกิจ
"Sell in May" แท้จริงแล้วสำคัญไฉน ในอดีตที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร
ช่วงนี้เราจะได้ยินหนึ่งคำเริมมีคนพูดถึงกันมากตั้งแต่
ปลายเดือนเมษายน นั่นก็คือ "Sell in May"
คำนี้มีที่มาอย่างไร วันนี้ Technofinance
จะพามาย้อนดูที่มาของคำๆนี้กัน
ก่อนอื่น "Sell in May" ก็คือการขายหุ้นออกมา
ในช่วงเดือนพฤษภาคม ผลของการขายหุ้นออก
มาเยอะๆ ย่อมส่งผลให้ราคาหุ้นหรือดัชนีลดลง
ตามมาด้วยดังนั้นวันนี้ เรามาดูกันย้อนหลังจาก
ปี 2010 จนถึงปัจจุบัน "Sell in May"
เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากเกิดขึ้นจริงแล้วผลที่เกิด
นั้นมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็การเข้าใจว่านั้นเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นข้อมูลตัวนี้จึงไม่ได้มีไว้ตัดสินใจในการซื้อ
หรือขายหุ้นแต่ประการใด
การย้อนไปดูข้อมูลในครั้งนี้เราจะย้อนไปดูถึง
เดือนพฤษภาคม 2010 คือย้อนไปดู 10 ปี
ย้อนหลังสาเหตุที่เราไม่ย้อนไปในปี 2009
 เพราะว่าปี 2009 เป็นปีที่ฟื้นตัวจากวิกฤติเศษฐกิจปี 2008
การเปรียบเทียบระหว่าง SET Index และ SET50 Index
มาเข้าปรระเด็นในส่วนของข้อมูลย้อนหลังของ
SET Index และ SET50 Index จากข้อมูลพบว่า
ดัชนีทั้งสองมีการลดลงในเดือนพฤษภาคม
ถึง 9 ครั้ง โดยที่ปี 2012 ดัชนี SET Index
ปรับตัวลดลงมากที่สุดที่ -7.6% และ
ดัชนี SET50 Index ปรับตัวลดลงที่ 9%
มีเพียงแต่ปี 2016 เท่านั้นที่ ดัชนี SET Index
ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 1.5% และ ดัชนี SET50 Index
ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 2.3% จากข้อมูลที่ได้มาจะ
แสดงให้เห็นว่า ดัชนี SET50 ไม่ว่าจะเกิดการ
ปรับตัวขึ้นหรือลง มักจะขึ้นหรือลงแรงกว่า
SET index ตลอด 10 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา
จากช้อมูลข้างต้นเรารู้อยู่แล้วว่า SET50 Index
มีผลกระทบมากกว่า คราวนี้เราจะพามาดูหุ้นรายตัวดูบ้าง
เพื่อมาดูกันว่า การเปลี่ยนของของหุ้นรายตัวว่า
มีการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มที่สอดคล้องกับ
ดัชนี SET Index และ ดัชนี SET50 Index หรือไม่
ดังนั้น เราจะมาดูกันว่าหุ้นที่มีมูลค่าราคาตลาด
สูงสุด 3 อันดับแรกย่อมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
ของดัชนี หุ้นที่มีมูลค่าราคาตลาดสูงสุด
ณ. วันที่ 30 เมษายน 2563 ได้แก่ PTT, AOT , CPALL
เริ่มต้นจาก PTT ในฐานนะที่มุลค่าตามราคาตลาดสูงสุด
พบว่าราคาหุ้นของเดือนพฤษภาคม ลดลง 9 ครั้งจาก
10 ครั้งโดยที่ปี 2012 ราคาหุ้นลดลงถึง 11.6 %
และยังลดลงในสัดส่วนที่มากกว่า ดัชนี SET Index
และ ดัชนี SET50 Index ในขณะที่ปี 2017 นั้น
ราคาหุ้นของ PTT ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3 % ซึ่งดีกว่า
ดัชนี SET Index และ ดัชนี SET50 Index
การเปรียบเทียบระหว่าง PTT และ SET50 Index
ส่วนราคาหุ้นของ AOT นั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่
ไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับดัชนี SET Index
และ ดัชนี SET50 Index โดยที่ราคาหุ้นมีการ
ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 ครั้ง และลดลง 5 ครั้ง
โดยที่ปี 2012 มีการปรับตัวลดง 9.3 %
ปี 2013 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 24.6 %
การเปรียบเทียบระหว่าง AOT และ SET50 Index
ส่วนราคาหุ้นของ CPALL นั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่
ไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับดัชนี SET Index
และ ดัชนี SET50 Index เช่นกัน โดยที่ราคาหุ้น
มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 ครั้ง และลดลง 3 ครั้ง
โดยที่ปี 2012 มีการปรับตัวลดง 10.8 %
ปี 2016 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 9.3 %
การเปรียบเทียบระหว่าง CPALL และ SET50 Index
จากสถิติที่ผ่านมาถึงแม้ว่า ดัชนี SET Index
และ ดัชนี SET50 Index มีโอกาสปรับตัวลง
มากกว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากข้อมูลที่
Technofinance ได้นำมาเปรียบเทียบ
ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวจะเปลี่ยนแปลง
ไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ดังนั้นการวิเคราะห์
ปัจจัยต่างๆ ของหุ้นแต่ละตัวจึงมีความสำคัญมากกว่า
ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว สำหรับนักลงทุนที่มีข้อมูล
และทำการศึกษาที่มากพอ
คำว่า "Sell in May" ก็ไม่ได้มีความน่ากลัวแต่อย่างใด
รบกวนกดติดตามและกดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจในการนำข้อมูลมาแบ่งปันกัน
โฆษณา