6 พ.ค. 2020 เวลา 02:00 • การศึกษา
สมัยพุทธกาลมีการเวียนเทียนหรือไม่❓
การเวียนเทียนเป็นธรรมเนียมที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เวลามีการแสดงความเคารพต่อสิ่งใดจะใช้การเวียนเทียน ซึ่งมีศัพท์เรียกว่าเวียนประทักษิณ ที่เราเรียกว่า เวียนขวา คือเวลาเราจะแสดงความเคารพสิ่งใด
อย่างเช่น จะเวียนเทียนรอบโบสถ์ รอบพระพุทธรูป รอบพระสถูป ให้เอาแขนขวาของเราเข้าใกล้สิ่งนั้น หรือบางทีเราก็อาจจะอาราธนาพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ มาวางไว้ แล้วเวียนเทียนรอบ ๆ พระพุทธรูปองค์นั้น ไม่จำเป็นต้องเวียนเทียนรอบโบสถ์ก็ได้
เพราะบางที่ไม่มีโบสถ์ ให้เราอาราธนาพระพุทธรูปมาวางไว้ แล้วเดินเวียนรอบ ๆ ก็ถือเป็นการเวียนเทียนเหมือนกัน คือ เวียนประทักษิณระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
1
ทำไมต้องมีการเวียนเทียน❓
ที่เรียกว่าเวียนเทียนเพราะว่าเราถือเทียนไว้ในมือ ซึ่งบางทีก็มีทั้งเทียน ทั้งธูป แต่เราไม่เรียกเวียนธูป เพราะธูปเป็นควันมองเห็นไม่ชัด แต่เทียนมันสว่าง มองเห็นง่าย เราก็เลยเรียกว่า เวียนเทียน
การเวียนเทียน คือ การบูชาด้วยความสว่าง เพราะถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำความสว่างแห่งปัญญามาให้เราได้รู้จักความจริงของโลกและชีวิต เราบูชาปัญญาซึ่งมีตัวแทนคือความสว่างโดยใช้เทียน ส่วนธูปเป็นการบูชาด้วยของหอมว่ากลิ่นศีลของพระองค์หอมทวนลม
เคยมีคำถามว่า อะไรเอ่ยหอมทวนลม ปกติความหอมทั่วไปจะหอมตามลม เพราะความหอมเกิดจากโมเลกุลของสิ่งนั้นมากระทบต่อเซลล์ประสาทรับกลิ่นของเราที่โคนจมูก พอเราหายใจเข้าไป โมเลกุลของสิ่งนั้นจะไปกระทบกับใยประสาท ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา แล้วอะไรจะหอมทวนลมได้
ท่านบอกว่ากลิ่นศีลจะหอมทวนลม ปกติเทวดาอยากอยู่ห่างมนุษย์มาก ๆ ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเทวดารู้สึกว่ากลิ่นมนุษย์เหม็นเหมือนศพ ไม่อยากเข้าใกล้ ยกเว้นมนุษย์ผู้มีศีล ถ้าวันไหนเทวดาจะลงมาดูแลรักษาเรา ก็เพราะกลิ่นศีลหอมทวนลม
เพราะฉะนั้นเราบูชาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระบริสุทธิคุณ ด้วยการจุดธูประลึกถึงศีลของพระองค์ และเราเองก็ต้องปฏิบัติให้มีศีลอย่างพระองค์ด้วย
ศีล ๕ คือศีลเบื้องต้นของฆราวาส แต่ถ้าวันพระหรือวันคล้ายวันเกิด เช่น ใครเกิดวันจันทร์ ก็รักษาศีล ๘ วันจันทร์ อาทิตย์หนึ่งสักครั้งหนึ่ง ถ้าทำได้จะดีมาก เพราะถ้าเรารักษาศีล ๕ เดี๋ยวนี้สิ่งยั่วยวน สิ่งเร้ามีมาก เกิดเราใจอ่อนไปผิดศีล ศีลเราก็จะขาด
แต่ถ้าเรายกใจเราสูงขึ้นเป็นศีล ๘ ถึงคราวจะร่วงลงมาเป็นศีล ๕ ก็ยังดี คือ เหมือนกับชกรุ่นเฮฟวีเวทแล้วพอเจอรุ่นฟลายเวทก็สบาย ๆ ฉะนั้นอาทิตย์หนึ่งก็เอาวันเกิดตัวเองสัก ๑ วัน วันพระอีก ๑ วัน รักษาศีล ๘ ให้ได้ ๒ วันต่อสัปดาห์ อย่างนี้เยี่ยมเลย
ปัจจุบันประเทศอินเดียยังมีการเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชาไหม❓
หลังจากอิสลามรุกเข้ามายึดอินเดีย พระพุทธศาสนาก็หายจากอินเดียไปช่วงใหญ่ แต่ตอนนี้เริ่มฟื้นกลับมาแล้ว
เมื่อวิสาขบูขาที่ผ่านมาก็มีการนิมนต์และเชิญตัวแทนจากวัดพระธรรมกายไปจัดงานวิสาขบูชาที่อินเดีย ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ส่งหมู่คณะไป ปรากฏว่ามีรัฐมนตรีมาร่วมงานกันหลายท่านเขาปลื้มใจมาก ขอให้ไปช่วยจัดตามเมืองต่าง ๆ อีกหลายแห่ง และบอกว่าปีหน้าช้าไป ขอเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม มีงานอะไรก็อยากให้ไปช่วยจัด ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้กลับไปสู่แดนพุทธภูมิคือประเทศอินเดียอย่างจริงจังแล้ว
พิธีกรรมวันวิสาขบูชาของอินเดียกับไทยเหมือนหรือต่างกันอย่างไร❓
โดยพื้นฐานก็คล้าย ๆ กัน เพราะตอนนี้เราเอาต้นแบบธรรมเนียมพุทธของเรากลับไปให้เขา เขากำลังดูชาวพุทธไทยเป็นต้นแบบ แต่ก็ต้องปรับให้เข้ากับธรรมชาติบ้านเมืองเขาเหมือนกัน เช่น การปล่อยโคมลอย เมืองเขาลมแรงมาก บางทีพัดจนกระดาษที่หุ้มโคมโป่ง ถูกไฟข้างในไหม้ก็มี
แต่คนอินเดียเขาก็สู้ พยายามจนสามารถปล่อยได้สำเร็จเป็นร้อย ๆ โคม แล้วเขาก็เบิกบานกัน อยากจะให้จัดอีก มีชาวอินเดียมาร่วมงานเป็นหมื่นเป็นแสนคนอย่างเงียบสงบและเป็นระเบียบ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอินเดีย ทำให้เกิดความทึ่งและตะลึงไปตาม ๆ กัน
เราเอาธรรมเนียมปฏิบัติที่วัดของเราไปทำที่อินเดีย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสงบเสงี่ยม ทุกอย่างเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อพระรัตนตรัย แสดงความเคารพต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสร้างความประทับใจและความศรัทธาแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ของอินเดียได้เป็นอย่างดี
อานิสงส์ของการร่วมพิธีเวียนเทียนมีอะไรบ้าง❓
อานิสงส์มหาศาล มีเรื่องจริงเกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาล คือมีเทพธิดาเกิดใหม่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชั้นเดียวกับพระอินทร์ เทพธิดาที่เกิดขึ้นมามีวิมานสวยมาก มีสีทอง เทวรถก็สีทอง พัดก็สีทอง อะไร ๆ ก็สีทองทั้งนั้น สีเหลืองทองสวยงามมาก
พระอินทร์เห็นยังทึ่งเลย และไปถามเทพธิดาเจ้าของวิมานว่า “ดูก่อนเทพธิดา เธอทำบุญอะไรมาหรือ ทำไมวิมานสวยอย่างนี้” เทพธิดาไม่กล้าตอบเพราะอาย พอพระอินทร์ถามรุกเร้าเข้า ก็เลยตอบว่า
“ดิฉันเพิ่งมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตอนเป็นมนุษย์กำลังจะไปบูชาพระสถูปเจดีย์ด้วยดอกบวบขม เคยเห็นชาวบ้านเขาถือธูปเทียนไปไหว้พระสถูปเจดีย์ ก็อยากจะไปบ้าง แต่ไม่มีเงินซื้อธูปเทียนของหอมอย่างคนอื่นเขา เพราะจนมาก จึงเด็ดดอกบวบขมข้างทางมา ๔ ดอก ตั้งใจจะไปบูชาพระสถูปเจดีย์”
ระหว่างเดินไป วิบากกรรมเก่าตามมาถึง ถูกแม่โควิ่งมาขวิดตายกลางทาง ขณะที่ใจเต็มเปี่ยมด้วยความศรัทธา พอละจากโลกนี้ก็ได้เกิดเป็นเทพธิดามีวิมานสีเหลืองทอง
นี่ขนาดยังไปไม่ถึงพระสถูปเจดีย์ แต่ความตั้งใจมีอยู่ ของที่บูชาก็เป็นของที่ราคาถูกมาก คือ ดอกบวบที่เก็บจากข้างทาง อานิสงส์ยังส่งขนาดนี้
ถ้าตั้งใจเวียนเทียนบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจศรัทธาเลื่อมใสมั่นคงแน่วแน่ ยิ่งทำสมาธิไปด้วย ลองคิดดูว่าบุญขนาดไหน อานิสงส์มหาศาลเลย ท่านถึงสรุปว่า “เมื่อมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว ทักษิณาทานหาชื่อว่าเป็นของน้อยไม่”
ในระหว่างการเวียนเทียน ๓ รอบต้องมีการสวดมนต์ไหม❓
ส่วนใหญ่สวด นะโมตัสสะ... และ อิติปิโส... อิติปิโส... คือการบูชาพระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าสวดมนต์ไปด้วยใจจะไม่คิดวอกแวกไปที่อื่น ฉะนั้นในการเวียนเทียนถ้าไม่ได้สวดมนต์ สำหรับคนที่ยังฝึกสมาธิมาน้อย บางทีก็เวียนไปคุยกันไป
ฉะนั้นสวดมนต์ดีกว่า จะได้อยู่ในบุญ บทสวดก็เป็นบทบูชาพระรัตนตรัย จะใช้บทไหนที่เราคุ้นเคย อะระหังสัมมา... ก็ได้ อิติปิโส... ก็ได้ นะโมตัสสะ... ก็ได้ สวดไปใจก็ทำสมาธิไปด้วย ถ้าคนไหนเคยฝึกสมาธิมาแล้วใจจดจ่อบูชาพระรัตนตรัยอย่างนี้ยิ่งดีมาก
การเวียนเทียน ๓ รอบ มีความหมายอะไรหรือเปล่า❓
เป็นธรรมเนียมแต่ครั้งพุทธกาลแล้วที่ทำอะไรมักจะทำ ๓ รอบ รอบที่ ๒ เรียกทุติยัมปิ รอบที่ ๓ เรียกตะติยัมปิ อาราธนาศีลก็ยังต้องอาราธนา ๓ ครั้ง เวลาขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งยังต้อง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ และยังมีทุติยัมปิ คือรอบ ๒ ตะติยัมปิ คือรอบ ๓
แม้แต่บวชพระก็เหมือนกัน เวลาบวช พระคู่สวดต้องตั้งญัตติขึ้นมาว่า ดูก่อนสงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังข้าพเจ้าว่า มีบุคคลชื่อนี้ (ชื่อบาลี) ซึ่งเป็นศิษย์ของพระอุปัชฌาย์ชื่อนี้ ตั้งใจจะมาขอบวชต่อสงฆ์ ถ้าสงฆ์เห็นพร้อมกันแล้ว โปรดอนุญาตให้บุคคลผู้นี้บวชด้วย นี่เป็นญัตติ ตั้งญัตติขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ทวน ๓ รอบ ถามความเห็น รอบที่ ๑ ถ้าสงฆ์ทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันขอให้นิ่ง ถ้าไม่เห็นพ้องต้องกัน ก็ให้ทักท้วง ถามอย่างนี้ ๓ รอบ
พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนามีประโยชน์อย่างไร❓
ให้มองอย่างนี้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น หลักปฏิบัติต่าง ๆ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีตั้งแต่เปลือก กระพี้ และแก่น
แก่นไม้ คือส่วนที่เป็นสาระของต้นไม้ แต่แก่นก็ต้องมีเปลือกมาหุ้ม แล้วเปลือกก็มีกระพี้หุ้มอีกที บางคนบอกว่าเปลือกกับกระพี้ไม่สำคัญ จริง ๆ ถ้าไม่มีเปลือก ไม่มีกระพี้ ต้นไม้ก็ตายเหมือนกัน เปลือกและกระพี้เป็นตัวหุ้มต้นไม้เอาไว้ แล้วน้ำเลี้ยงก็หล่อเลี้ยงให้แก่นค่อย ๆ โตขึ้น ชาวพุทธเราปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ก็มีทั้งเปลือก กระพี้ และแก่น
ตัวพิธีกรรมในพระพุทธศาสนาเช่นการเวียนเทียนถือว่าเป็นส่วนของเปลือกและกระพี้ แต่ถ้าระหว่างที่เวียนเทียนเราสวดมนต์ไปด้วย ทำสมาธิไปด้วย อันนี้ถือว่าได้ทั้งเปลือก กระพี้ และแก่นไปด้วยในตัว
แต่บางคนที่ไปเวียนเทียนตามธรรมเนียม เห็นเขาเวียนเทียนก็เวียนไปด้วย เวียนไปคุยไป อย่างนี้ได้เฉพาะในส่วนของกระพี้กับเปลือก ยังไม่ไปถึงแก่น ฉะนั้นแต่ละคนที่ไปเวียนเทียนด้วยกัน แม้เวียนที่เดียวกัน ก็ได้ประโยชน์ไม่เท่ากัน
ในแง่ของหลักปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา, ทาน ศีล ภาวนา นั่นคือส่วนของแก่น ที่เป็นสาระที่แท้จริง แต่ถ้าอยู่ ๆ ชวนกันไปวัด บอกให้มานั่งสมาธิเลย มีคนที่พร้อมจะเข้าวัดจริง ๆ ไม่มาก แต่ถ้าชวนไปเวียนเทียนง่ายกว่า
ไปเวียนเทียนวันวิสาขบูชา นั่นคือส่วนของพิธีกรรม คือส่วนของเปลือกและกระพี้ ชวนคนมาได้ง่าย พอมาถึงวัด ไหน ๆ มาเวียนเทียนแล้ว ใจเป็นกุศลขึ้นมา ทำความดีเพิ่มอีกนิด เพิ่มรักษาศีลอีกหน่อย อย่างนี้จะง่ายขึ้น
เพราะฉะนั้น จะว่าพิธีกรรมไม่สำคัญก็ไม่ใช่ พิธีกรรมมีความสำคัญ เพราะสามารถสร้างความศรัทธาให้เพิ่มขึ้นได้ ไปเวียนเทียนพร้อมกัน คนที่ตั้งใจอยู่แล้วก็เลยเกิดปีติศรัทธามากขึ้นอีก ตอกย้ำให้คนใหม่รู้สึกดีมากขึ้น คนเก่าก็เกิดความศรัทธาเพิ่มขึ้น พิธีกรรมมีส่วนเสริม
แต่ต้องไม่ลืมว่าอย่าติดแค่พิธีกรรมอย่างเดียว พิธีกรรมเป็นเครื่องจูงใจ แต่สาระสำคัญจริง ๆ คือการปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ตั้งใจทำให้ดี เพราะทำแล้วจะเกิดเป็นบุญกุศลติดตัวเราไป
ฉะนั้น เราชาวพุทธเมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต้องปฏิบัติให้ครบ โดยมุ่งไปหาแก่น แต่ไม่ถึงขนาดปฏิเสธเปลือกและกระพี้ แล้วสุดท้ายต้องนำไปสู่สาระคือการปฏิบัติเสมอ
คนที่เข้าใจอยู่แล้วไปชวนคนใหม่เข้ามาโดยอาศัยพิธีกรรมเป็นอุปกรณ์ในการชักชวน และนำมาสู่การปฏิบัติ คนที่เข้าใจแก่นก็เหมือนกับต้นไม้ที่แก่นโตขึ้น ๆ จากไม้ต้นเล็ก ๆ ก็โตขึ้น สุดท้ายใหญ่จนต้องโอบเลย
อยากให้พระพุทธศาสนาในทุกถิ่นในประเทศไทยทั้งประเทศ แต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ แต่ละตำบล แต่ละหมู่บ้าน เป็นไม้ใหญ่ที่มีความมั่นคงแข็งแรง เป็นต้นโพธิ์ต้นไทรที่ให้ร่มเงาให้ผู้คนทั้งหลายเกิดความสงบร่มเย็น
ถ้าชาวพุทธทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ พระสงฆ์ตั้งใจสอนประชาชน ตัวเองปฏิบัติด้วย สอนประชาชนด้วย และชาวพุทธเองก็ตั้งใจเข้าวัดปฏิบัติธรรม อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสงฆ์ บำรุงพระพุทธศาสนาด้วย แล้วตั้งใจปฏิบัติด้วย จากพิธีกรรมที่เป็นเปลือก กระพี้ จนกระทั่งถึงแก่นแห่งการปฏิบัติจริง ๆ
อย่างนี้แล้ว พระพุทธศาสนาในประเทศไทยของเราจะสถิตสถาพรยั่งยืนนาน ภัยใด ๆ ข้างนอกก็ทำอันตรายเราไม่ได้ สมดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ตราบใดที่ชาวพุทธยังรักการประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธศาสนาก็จะมั่นคงไปตราบนั้น”
🌟รับธรรมะดี ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงความสุขภายในได้ที่นี่
⚡️Line
⚡️Facebook
⚡️YouTube
⚡️Instagram
⚡️Twitter
⚡️Pinterest
⚡️Spotify
⚡️Apple Podcasts
⚡️JOOX
⚡️TikTok
⚡️Blockdit

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา