Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Captain No.12
•
ติดตาม
6 พ.ค. 2020 เวลา 03:45 • กีฬา
สงครามเทคโอเวอร์ LFC
ลิเวอร์พูลก่อนยุค FSG คือสมบัติของตระกูลมอรส์ แต่เมื่อการแข่งขันทาง ฟุตบอลเปลี่ยนไป เดวิด มอรส์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ คิดว่าจะพึ่งพาความร่ำรวยของ เขาอย่างเดียว ลิเวอร์พูลคงล้าหลังว่าทีมอื่น ดังนั้นต้องยอมตัดใจขายทีมที่ รัก ดุจเฉือนหัวใจของตัวเองทิ้ง เรื่องนี้เขียนโดย พอล โกร์สต์ (Paul Gorst) ลงในเพจส่วนตัวและลิเวอร์พูล เอ๊คโค่
แน่นอน ลิเวอร์พูลเป็นที่สนใจของนักลงทุนจากทั่วโลก เมื่อเจ้าของทีมประกาศขายหุ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ต่อให้ทีมไม่ได้แชมป์ลีกนานเกือบ 15 ปี ชื่อของลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ยังขายได้ มีสาวกสรรเสริญทั่วโลก
นี่คือยักษ์ใหญ่ที่กำลังหลับใหล ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ลิเวอร์พูล FC คือเพชรที่รอการเจียระไน
ทีมที่มีแฟนบอลหนาแน่นและจงรักภักดีที่สุดทีมหนึ่ง พยายามไล่ตามคู่แข่ง ในสนาม นี่คือการซื้อเหมืองทองคำในราคาถูก นักลงทุนมองแบบนั้น มอรส์ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและความจำเป็นของแหล่งทุนใหม่สำหรับการ แข่งขันในยุคพรีเมียร์ ลีกมาตลอด แต่เวลาผ่านไปนานเท่าไร ดูเหมือนเขาไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ และ ลิเวอร์พูลอาจพบจุดจบแบบไม่มีใครคาดคิด
ค่าตัวนักเตะพุ่งสูง กลายเป็นเรื่องปกติของพรีเมียร์ ลีก แมนฯ ยูฯ เชลซี และอาร์เซน่อล คว้านักเตะค่าตัวแพงเสริมทีมอย่างต่อเนื่อง ต้นปี 2004 นักเตะ ค่าตัวแพงสุดของลิเวอร์พูลคือเอมิล เฮสกี้ จากเลสเตอร์ตัวค่าเงิน 11 ล้าน ปอนด์ ขณะที่ตลาดของพรีเมียร์ ลีก นักเตะค่าตัวมหาศาลเดินกันเกลื่อน ฮวน เซบาสเตียน เวรอน (28 ล้านปอนด์) รูด ฟาน นิสเตลรอย (19 ล้านปอนด์) ริโอ เฟอร์ดินานด์ (30 ล้านปอนด์) และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ (12 ล้านปอนด์) พาเหรดเข้าสู่โอลด์ แทรฟเฟิร์ด ล้วนๆ
อาร์เซน่อลพร้อมจ่ายเช่นกัน ซิลแว็ง วิลตอร์ โจวานนี่ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ และฮวน อันโตนิโอ เรเยส เข้าสู่ไฮบิวรี่ด้วยค่าตัวที่แพงกว่านักเตะใน แอนฟิลด์
โชคชะตาของเชลซีพลิกในชั่วข้ามคืน เมื่อโรมัน อบราโมวิชเทคโอเวอร์ ยิ่งทำให้มอรส์รู้สึกว่า ลิเวอร์พูลโดนทิ้งไว้ด้านหลัง ทิ้งกันแบบไม่เห็นฝุ่น วัดกันด้วยเงิน ลิเวอร์พูลไม่มีทางสู้ได้ ดังนั้นถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้ง สำคัญ การปรับปรุงและขยายความจุแอนฟิลด์ และถ้าจะแข่งกันซื้อนักเตะ ไม่มีซุปเปอร์ สตาร์คนไหนสนใจลิเวอร์พูล หรือถ้าจะแข่งกันเพื่อแย่งตัว ลิเวอร์พูลต้องหมอบก่อนถึงจังหวะเรียกดูแต้ม
ตระกูลมอรส์ นำลิเวอร์พูลมาไกลสุดกำลัง แต่การหานักลงทุนที่เหมาะสม เป็นสิ่งจำเป็น ต้นปี 2004 ลิเวอร์พูลเริ่มฟังข้อเสนอ แน่นอนอยู่แล้ว ลิเวอร์พูลประกาศขายหุ้นแพร่สะพัด ข้อเสนอมากมายพุ่งมาแอนฟิลด์
เดวิด มอรส์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของลิเวอร์พูล ก่อนการมาของฮิคส์และจิลเล็ตต์
คนแรกที่ประกาศตัวซื้อหุ้นคือ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย มองเห็นว่า ลิเวอร์พูล เอฟซี คือแบรนด์ที่ยอดเยี่ยม เป็นที่ยอมรับในประเทศไทย ความ คิดของอดีตนายกฯ ไทย ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหกพกลม มีการเจรจาจริงๆ นำโดย พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล ซึ่งเปิดเผยในตอนนั้นว่า “ในประเทศไทย น่าจะมีแฟนบอลลิเวอร์พูลเกือบ 1 ล้านคน ถ้าประเทศไทย เป็นหนึ่งในเจ้าของทีมลิเวอร์พูล น่าจะทำให้คนไทยสนใจกีฬาและการออก กำลังกายมากขึ้น”
พงษ์ศักดิ์กล่าวอีกว่า “คนไทยจะดำเนินชีวิตในทางที่เหมาะสม ไม่ยุ่งเกี่ยว กับยาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่ในชนบทห่างไกล ซึ่งปกติไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไร การกระตุ้นให้คนไทยเล่นกีฬาเป็นสิ่งที่ดี เราคิดว่า ลิเวอร์พูลมีชื่อเสียง เป็นหัวหอกที่ดีในการรณรงค์ดังกล่าว”
นายกรัฐมนตรีไทย อนุมัติงบประมาณ 60 ล้านปอนด์ สำหรับการซื้อหุ้น 30 % ของลิเวอร์พูล
“ถ้าลิเวอร์พูลตกลง ทุกอย่างสามารถปิดดีลอย่างรวดเร็ว” อดีตนายกฯ ทักษิณกล่าวในตอนนั้น “แต่ไทยไม่ต้องการเป็นผู้ตาม ต้องมีคนไทยเป็น ผู้บริหารในบอร์ดหลายๆคน”
ประเทศไทยเอาเงินจากไหนมาซื้อหุ้นลิเวอร์พูล คำตอบคือ ลอตเตอร์รี่ คาดว่าจะทำเงินได้ 140 ล้านปอนด์ โดยนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นบอกว่า การซื้อลิเวอร์พูลไม่เกี่ยวกับเงินภาษี
ความจริง การมองการณ์ของทักษิณ ชินวัตรไม่ได้หยุดแค่ลิเวอร์พูล แต่ทีม ไหนก็ได้ในพรีเมียร์ ลีก เหมือนเป็นของเล่นสำหรับคนรวย การเป็นเจ้าของ ทีมฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อปี 2004 และนายกรัฐมนตรีวัย 55 ปี ให้ ข่าวในเดือนพฤษภาคมว่า “เราน่าจะซื้อหุ้นทีมใดทีมหนึ่งได้ตอนสิ้นเดือน มิถุนายน”
ไม่เพียงแต่นายกรัฐมนตรีไทยให้ข่าวเรื่องนี้ เหมือนกันคณะรัฐบาลไทยให้ การสนับสนุน มีบทสัมภาษณ์ของจักรภพ เพ็ญแข โฆษกรัฐบาลว่า “ท่านนายกฯ สนใจลิเวอร์พูล แต่ก็สนใจทีมพรีเมียร์ ลีกทีมอื่นด้วย ทีมไหนก็ได้ ขอให้อยู่ในพรีเมียร์ ลีก ถือเป็นการลงทุนที่ดี”
ไทยส่งคณะเจรจามาลิเวอร์พูลตอนสิ้นเดือนพฤษภาคม นอกจากแอนฟิลด์ แล้ว ตัวแทนของนายกฯ ไทย มุ่งหน้าไปกูดิสันพาร์คด้วย เผื่อการเจรจากับลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด นายกฯ ทักษิณ เปลี่ยนใจยกเลิกแผนการซื้อ ลิเวอร์พูล ขณะที่การเมืองในประเทศไทยครุกรุน ใกล้ถึงการเลือกตั้ง สส ครั้งใหม่ การชิงคะแนนเสียงในสภาสำคัญกว่าการซื้อลิเวอร์พูล เป็นอันว่า แผนการนี้ถูกยกเลิก
อย่างไรก็ตาม มอรส์และบอร์ดลิเวอร์พูล อาจโล่งใจที่ขอเสนอของไทยเงียบหายไป เพราะชักไม่แน่ใจว่า ลิเวอร์พูลจะเป็นอย่างไร หากอยู่ในมือของคนที่สนใจจะครอบครองทีมในพรีเมียร์ ลีก ทีมใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นลิเวอร์พูล
มิถุนายน 2007 ทักษิณ ชินวัตรทำได้อย่างที่พูด ด้วยการซื้อสโมสร แมนฯ ซิตี้
นอกจากข้อเสนอจากไทยแล้ว พฤษภาคม 2004 สตีฟ มอร์แกน เจ้าของ บริษัท เร้ดโรว์ โฮม ยื่นข้อเสนอ 73 ล้านปอนด์ให้ลิเวอร์พูล แต่สโมสรมองว่า ไม่น่าสนใจ
มีนาคม 2004 มีข่าวครั้งแรกเรื่องการขายหุ้น ประมาณว่า 50 ล้านปอนด์น่าจะพอ แต่มอรส์ปฏิเสธ “ผมคุยกับแฟนบอลหลายคน นับแต่มีข่าวเรื่องขายหุ้น” ริชาร์ด เพดเดอร์ ประธานชมรมผู้สนับสนุนทีมลิเวอร์พูลกล่าว “ภาพรวมคือ 50 ล้านปอนด์ น่าจะพอ ซึ่งแฟนบอลสนใจว่า เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร”
ตอนนั้น ริค พาร์รี่คือ CEO ข้างกายมอรส์ มองว่า ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ รอข้อเสนอที่ดีที่สุด สตีฟ มอร์แกนกลับมาอีกด้วยเงิน 61 ล้านปอนด์ แลกกับลิขสิทธิ์ต่างๆของสโมสร และอีก 12 ล้านปอนด์ กับหุ้นบางส่วน ที่สามารถ ขายให้แฟนบอลได้ รวมเป็น 73 ล้านปอนด์
สตีฟ มอร์แกน เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เคยเสนอตัวร่วมทุนกับ LFC
“ฝ่ายบริหารอาจไม่เข้าใจว่าเราขอซื้ออะไร มิสเตอร์ มอร์แกน ไม่ได้ขอซื้อ สโมสร แต่ต้องการร่วมลงทุนด้วย สิ่งสำคัญคือ ลิเวอร์พูลมีเงินมากแค่ไหน ในการบริหารงาน โดยเฉพาะการซื้อนักเตะและปรับปรุงสนาม” ลิเวอร์พูลทำท่าจะตกลงเหมือนกัน ก่อนปฏิเสธ ซี่งสตีฟ มอร์แกน ผิดหวังมากที่ข้อเสนอ ของเขาไม่เป็นความจริง
จริงๆ มอร์แกน มีหุ้นในสโมสรอยู่แล้ว มากเป็นอันดับ 3 และพยายามเพิ่มบทบาทของตัวเองให้มากขึ้น “ผมขอบคุณแฟนบอลนับพันคนที่สนับสนุนความพยายามของผมและครอบครัว” มอร์แกนกล่าว “ผมยังรักและพร้อมอยู่กับ ลิเวอร์พูล พร้อมช่วยบอร์ดตัดสินใจและยุติความไม่แน่นอนของอนาคต เพื่อความมั่นคงของสโมสรและเชลาร์ อุลลิเยร์ในการทำงาน”
มอร์แกนบอกว่า ข้อเสนอของเขาสำหรับลิเวอร์พูลยังอยู่หากลิเวอร์พูลต้อง การ ซึ่งเขามั่นใจว่า ลิเวอร์พูลจะมีอนาคตสดใส
“ผมมีข้อเสนอ พร้อมเงิน สามารถเข้าบัญชีสโมสรช่วงคริสต์มาส” มอร์แกน ยังไม่ถอย เขาประกาศเจตนาอีกเมื่อเห็น ราฟาเอล เบนิเตซ นำลิเวอร์พูลเข้ารอบน็อค เอาท์ของ UCL ในเดือนตุลาคม 2004 “ราฟาเอล เบนิเตซ จะมีเงินซื้อนักเตะ และสโมสรปรับปรุงสนามได้ โปรดรับข้อเสนอของผม”
อย่างไรก็ตาม บอร์ดลิเวอร์พูลไม่ตอบสนองคำขอของสตีฟ มอร์แกน เป็นอันว่า ข้อเสนอของเขาตกไปโดยปริยาย วินเซนต์ แฟร์คลัฟ ตัวแทนทีมกฎ หมายของมอร์แกนกล่าวว่า “บอร์ดลิเวอร์พูล ใช้ข้อเสนอของมอร์แกน เป็น แค่เครื่องต่อรองกับนักลงทุนรายอื่นเท่านั้น “มิสเตอร์ มอร์แกนไม่อยากเป็น เครื่องบรรณาการอีกต่อไป กับการเสนอเงิน 70 ล้านปอนด์ให้สโมสรโดยตรง และไม่เป็นที่ต้องการของประธานสโมสร เขาหมดความอดทน และมีหลาย อย่างในชีวิตที่ต้องทำ”
ลิเวอร์พูลเล่นเจ้าล่อเอาเถิด อีกสองปี กว่าเดวิด มอรส์จะยอมขายสมบัติ เจ้าคุณปู่ให้ทอม ฮิคส์และจอร์ช จิลเล็ตต์
25 พฤษภาคม 2005 คือวันสำคัญที่เดอะ ค็อป ทั่วโลกจารึกไว้ในหัวใจ
คืนที่ ทีมรอง ลิเวอร์พูล สามารถพลิกโชคชะตาจากไล่ตาม 0-3 กลับมาชนะเอซี มิลานที่เต็มไปด้วยซูเปอร์ สตาร์ ด้วยการยิงจุดโทษ สร้างประวัติศาสตร์การช็อคครั้งสำคัญของวงการฟุตบอล คว้าแชมป์สโมสรยุโรปสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ
แชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ของลิเวอร์พูล
ทีมของราฟาเอล เบนิเตซ เอาชนะอุปสรรคทั้งปวง ในเหตุการณ์เหลือเชื่อ ณ สนามอทาเติร์ก ที่อิสตันบูล และน่าจะเป็นขับเคลื่อนสำคัญให้สโมสรก้าวไปสู่ความสำเร็จและอนาคตที่สดใส ด้วยศักดิ์ศรีแชมป์ยุโรป เดวิด มอรส์ ผู้ถือ หุ้นใหญ่ของสโมสร น่าจะมีโอกาสเลือกนักลงทุนรายใหม่อย่างไม่ยากเย็น ตรงกันข้าม น่าจะมีให้เลือกจนหลับตาจิ้มยังได้
จากการเสนอตัวของ ทักษิณ ชินวัตร ในนามประเทศไทยและสตีฟ มอร์แกน เมื่อปี 2004 มีนักลงทุนรายใหม่ ดูไบ อินเตอร์เนชั่นแน่ล แคปิตอล DIC เปิดตัวว่าสนใจซื้อหุ้นสโมสร รวมกับความสำเร็จในยุโรป นี่คือพลังเทอร์โบที่ ขับเคลื่อนลิเวอร์พูลให้ก้าวไกลได้
มอรส์ อาจประหลาดใจกับการคว้าแชมป์ และรู้ดีว่า ยังไงลิเวอร์พูลต้องลงทุนมากกว่านี้ ถึงจะประสบความสำเร็จ ได้แชมป์ยุโรปก็จริง แต่ในพรีเมียร์ ลีก ลิเวอร์พูลได้แค่อันดับ 5 สำหรับฤดูกาล 04/05 ดังนั้น ต้องไม่คิดว่า ลิเวอร์พูลคือสุดยอดเหมือนอดีตอีกต่อไป ผลงานในลีกต่างหากที่บอก สถานะของทีมได้ชัดเจนที่สุด
แมนฯ ยูฯ คือมหาอำนาจของพรีเมียร์ ลีก อาร์เซน่อลเตรียมเปิดสนาม เอมิเรตส์ที่ใหญ่โตและทันสมัยและเชลซีเริ่มผงาดจากความร่ำรวยของโรมัน อบราโมวิช ขณะที่ผู้ถือหุ้นลิเวอร์พูลไม่พร้อมจะควักกระเป๋า ดังนั้น มอรส์ในฐานะ หุ้นใหญ่ต้องทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะการขายหุ้นให้นักลงทุนที่เหมาะสม ซี่งในสายตาของมอรส์ ยังหารายเหมาะๆ ไม่ได้
DIC ติดต่อหาริค พาร์รี่ CEO พร้อมข้อเสนอ การประชุมระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นก่อนนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก
ริค พาร์รี่ CEO ลิเวอร์พูล ผู้ดำเนินการซื้อขายหุ้นสโมสร
นี่คือตัวแทนที่หนุนหลังโดย ดูไบ โฮลดิ้งของมกุฎราชกุมารและ นายกรัฐมนตรีแห่งเอมิเรตส์ ชีค โมฮัมเม็ด บิน ราชิด อัล มัคทูม ในเวลานั้น ถือว่าร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ซี่งพาร์รี่คิดว่า นี่แหละนักลงทุนที่ น่าคบหาด้วย สามารถสนับสนุนเงินทุนให้ราฟาเอล เบนิเตซซื้อนักเตะได้ แบบไม่อั้น
เบนิเตซคือยอดกุนซือจอมแท็คติก ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่มีแฟนบอลทั่วโลก หนุนหลังด้วยอัล มัคทูม มหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลก ลิเวอร์พูลน่าจะกวาด นักเตะระดับท็อปของโลกเพื่อกลับมายืนแท่นอันดับ 1 ของอังกฤษได้ไม่ยากนัก แชมป์ยุโรปคือเครื่องตอกย้ำ มันสมองของราฟาเอล เบนิเตซ แต่ไฉน ความคืบหน้า ระหว่าง ลิเวอร์พูลและ DIC ถึงล่าช้า
จากอิสตันบูล 2005 กว่าจะมีข้อเสนอจากดูไบ ก็เมษายน 2006 ซึ่งเป็นแค่ ข่าวในตะวันออกกลางว่า DIC ขอซื้อลิเวอร์พูล 460 ล้านปอนด์ ก่อนดำเนิน ธุรกิจทั้งหมด DIC ขอตรวจสอบสถานะทางการเงินสโมสรและรายละเอียด มากมาย “เราหวังจะบรรลุข้อตกลง” CEO ของ DIC คือ ซาเมียร์ อัล อันซารี่ กล่าว “การลงทุนกับลิเวอร์พูลเป็นเรื่องใหญ่ มีคนสนใจมากมาย หวังว่า เรา จะมีโอกาสสนับสนุนสโมสรทั้งในและนอกสนาม”
ริค พาร์รี่เคยกล่าวระหว่างการแสวงหานักลงทุนตั้งแต่ปี 2005 ว่า “มีความคืบหน้าพอสมควร สำหรับการหานักลงทุนรายใหม่ และก้าวต่อไปอาจเป็นการ สร้างสนามใหม่ และพัฒนาชุมชนแถบนั้น ลิเวอร์พูลมีความมุ่งมั่นสำหรับการแสวงหาความสำเร็จในสนาม ขณะเดียวกัน การหานักลงทุน จะส่งผลให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว”
ต้นปี 2007 ข่าวกับ DIC ซาไป 18 เดือนจากการเจรจาครั้งแรก ไม่มีอะไรคืบหน้า ขณะที่ดูไบเติบโตเร็วมาก ทุกอย่างที่นั่นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ริค พาร์รี่ไม่เข้าใจว่า ทำไมการเจรจากับลิเวอร์พูลถึงติดขัด เขาเปิดเผยเรื่องนี้ในปี 2015 ว่า “เรารับข้อเสนอต้นธันวาคม 2006 พูดกันถึงการเสริมเดิมเดือนมกราคม 2007 เตรียมสั่งเหล็กเพื่อขยายสนาม เพราะคาดว่า ลิเวอร์พูลกับ DIC จะตกงกันได้ก่อน 31 ธันวาคม”
“ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาตรวจสอบรายละเอียดทางธุรกิจนานขนาดนั้น DIC ติดต่อกับเรา 18 เดือน คุณต้องรู้รายละเอียดทั้งหมดอยู่แล้ว” อย่างไรก็ตาม มกราคม 2007 ลิเวอร์พูลอนุมัติงบ 2.5 ล้านปอนด์ให้เบนิเตซ ซื้ออัลบาโร่ อัลเบลัว และเอล บอสมีแผนจะเสริมทีมอีกในเดือนนี้ แต่เพราะปัญหาด้าน การเงิน ทำให้ลิเวอร์พูลไม่ได้นักเตะตามแผนที่เบนิเตซต้องการ
ลิเวอร์พูลชนะเชลซี แชมป์พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา 2-0 ในแอนฟิลด์ ทำให้อันดับขยับอยู่ที่ 3 ในตาราง และทุกอย่างน่าจะดีขึ้น 31 มกราคม 2007 ฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์เมื่อมีประกาศจาก DIC ว่า “ดูไบ อินเตอร์เนชั่นแน่ล แคปิตอล LLC ขอประกาศว่า ยุติการเจรจาเพื่อลงทุนร่วมกับลิเวอร์พูล เอฟซี แอนด์ แอเธเลติก กราวด์ PLC จากการตรวจสอบรายละเอียดด้านการเงิน DIC ยื่นข้อเสนอให้บอร์ดบริหารลิเวอร์พูล และข้อเสนอดังกล่าวได้รับการ อนุมัติโดยเดวิด มอรส์ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เรียบร้อย ”
“อย่างไรก็ตาม DIC พบว่า ลิเวอร์พูลมีมูลค่าที่ 450 ล้านปอนด์ และลิเวอร์พูลได้รับข้อเสนอจาก จอร์ช จิลเล็ตต์ และลิเวอร์พูลขอเวลาพิจารณาข้อเสนอ จากเจ้าของทีมมอนทรีออล คาเนเดี้ยนส์ด้วย ดังนั้น DIC จึงขอถอนตัวจาก การลงทุนดังกล่าว”
นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูลไม่ปฏิบัติตามคำพูดที่ให้กับ DIC “ลิเวอร์พูลเป็นทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงสดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ” อัล อันซารี กล่าว “คว้าแชมป์มากมายเพื่อแฟนบอล ทีมนี้สมควรอยู่ในการดูแลของคนที่พร้อมสนับสนุนทีมได้ คนที่เข้าใจประวัติศาสตร์และตำนาน คนที่มีความมุ่งมั่นเหมือนแฟนบอล สำหรับเป็นนักธุรกิจคิดว่า ควรเดินคนละทางดีกว่า”
ซาเมียร์ อัล อันซารี่
ลิเวอร์พูลดดำเนินการขยายสนาม สั่งซื้อเหล็กกล้ามูลค่า 10 ล้านปอนด์ “เรามีเวลาถึงกุมภาพันธ์เพื่อดำเนินการดังกล่าว และตอนนี้ เราพลาดการเสริมทีมในเดือนมกราคมเรียบร้อย” ริค พาร์รี่ เปิดเผยในปี 2015 “มีการประชุมบอร์ดปลายเดือนมกราคม 2007 ซึ่งบางเรื่องไม่มีเหตุผล เราพยายามเร่งขยาย สนามให้ทันปี 2009 เพื่อให้ทุกอย่างทันตามกำหนด เราต้องสั่งเหล็ก 10 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม ขณะที่การเจรจากับ DIC ยังไม่จบ”
“เราเจรจากับ DIC ว่า จะมีการประชุมบอร์ด ผู้บริหารเบอร์ 2 ของพวกเขา บอกว่า ไม่มีปัญหา เขาอนุมัติการซื้อหุ้นแน่นอน เราสามารถสั่งซื้อเหล็กได้ เลย แต่รุ่งขึ้น ทาง DIC บอกว่า ผู้บริหารเบอร์ 2 ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องดัง กล่าว แล้วยังไงล่ะทีนี้”
“คนที่ไม่แน่ใจกับ DIC คือเดวิด มอรส์ ในฐานะคนตัดสินใจสำคัญ จะไม่ยอมให้เรื่องผ่านไปโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบในมุมมองของเขา แต่สำหรับเรา อาจไม่อยู่ในบอร์ด เป็นนักบริหารอาชีพ พวกเรามั่นใจว่า DIC คือนักลงทุนที่ เหมาะสมน่นอน เดวิดบอกว่า ผมเป็นคนจับมือตกลงกับพวกเขา ดังนั้น ขอ เวลาอีก 48 ชั่วโมง ก่อนตัดสินใจ ผมไม่อยากเร่ง”
“วันรุ่งขึ้นผมไปบ้านเดวิด มอรส์พร้อมคีธ เคลย์ตัน เพื่อแจ้งว่า เราต้องให้คำ ตอบกับ DIC ว่าจะเอาอย่างไร มอรส์โทรหาซาเมียร์ อัล อันซารี่ แล้วบอกว่า ซาเมียร์ เรามีเรื่องเข้าใจผิดนะ ดูเหมือนว่า ข่าวจะคลาดเคลื่อนที่บอกว่า ลิเวอร์พูลจะรับข้อเสนอจากรายอื่น หากผมเป็นซาเมียร์ ผมคงรีบบินจากดูไบมาลิเวอร์พูล เพื่อเจรจาให้จบไป แต่เขาบอกเดวิดว่า หากคุณไม่ตกลงภายในห้าโมงเย็น เป็นอันว่า เราจบกันแค่นี้”
“เดวิดบอกว่า คุณจะแบล็คเมล์ลิเวอร์พูล เอฟซี ไม่ได้ ไม่มีใครทำอย่างนี้กับ เรา หรือว่าคุณจะบลัฟฟ์เรา คือเดวิดมองเป็นอีกอย่าง”
ธันวาคม 2006 ลิเวอร์พูลปฏิเสธข้อเสนอของจอร์ช จิลเล็ตต์ไปแล้ว ลิเวอร์พูลมั่นใจว่า สามารถตกลงกับ DIC ได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม จิลเล็ตต์ไม่ยอมแพ้ เขาพยายามตื้อ พร้อมกับการร่วมมือของทอม ฮิคส์ เพื่อนชาวอเมริกันของเขา ขอซื้อหุ้นลิเวอร์พูลในราคา 5,000 ปอนด์ต่อหุ้น เท่ากับประมาณ 174 ล้านปอนด์ พร้อมหนี้สินของสโมสรอีก 44.8 ล้านปอนด์ เท่ากับลิเวอร์พูลควรมีราคาไม่เกิน 218.9 ล้านปอนด์
เมื่อ DIC ถอนตัว ฮิคส์กับจิลเล็ตต์ได้โอกาสเข้าสู่แอนฟิลด์ และมอรส์คิดว่า นี่แหละคนที่เขารอคอยมานาน
“นี่คือก้าวสำคัญของผู้ถือหุ้นและแฟนบอล” เขาพูด พร้อมรับตำแหน่ง ประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ “ สโมสรคือชีวิตจิตใจของผม หลังจาก ไคร่ครวญอย่างดีแล้ว ผมตัดสินใจขายหุ้นของผม เพื่อสนับสนุนการพัฒนา สนามใหม่และเสริมทีม”
จิลเล็ตต์และฮิคส์ พบสื่อมวลชนในอังกฤษครั้งแรกเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2007 พร้อมคำมั่นสัญญาว่า นี่คือการเกิดใหญ่อันยิ่งใหญ่ “รับรองว่า อีก 60 วันนี้ มีการขุดดินเพื่อปรับปรุงสนามอย่างแน่นอน” จิลเล็ตต์บอกแผนการพัฒนา แอนฟิลด์ แต่คำพูดนั้น กลับเป็นการขุดดินฝังอนาคตของพวกเขามากกว่า
จิลเล็ตต์และฮิคส์มาพร้อมคำหวานตั้งแต่แรก
“ผมไม่อยากทำตัวเป็นเจ้าของ แน่นอน คุณจะได้เห็นผมบนอัฒจันทร์ แต่ อาจไม่ใช่จากไดเรคเตอร์ บ๊อกซ์ ผมอยากขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนทีมมากกว่า”
จิลเล็ตต์และฮิคส์มีแถลงการร่วม พูดถึงเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของสโมสร กองเชียร์ที่จงรักภักดั และความตื่นเต้นต่ออนาคตของสโมสร ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประเทศ พวกเขาอาจใหม่สำหรับเกมในอังกฤษ แต่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ถ้อยแถลงคือ “เรารับรู้และพอใจกับเกียรติประวัติของลิเวอร์พูล และเราจะน้อมรับความยิ่งใหญ่นี้ตลอดไป ตระกูลฮิคส์และจิลเล็ตต์ ตื่นเต้นกับการสานต่อความยิ่งใหญ่ของสโมสร เราขอบคุณ เดวิด มอรส์และริค พาร์รี่ ที่ช่วยกันพัฒนาสโมสร สำหรับเรา ความต่อเนื่องและความมั่นคงคือกุญแจแห่งความสำเร็จในอนาคต”
เดวิด มอรส์ พยายามเสาะนักลงทุนรายใหม่นาน 3 ปี แต่ไม่นานเขากลับพบ ว่า นั่นคือการตัดสินใจที่ต้องเสียใจที่สุดในชีวิต
กิตติกร อุดมผล
บันทึก
4
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย