6 พ.ค. 2020 เวลา 16:48 • ประวัติศาสตร์
ต้นกำเนิดสงครามโลกครั้งที่3
มาครับจะเล่าให้ฟัง ตอนที่1
ต้นกำเนิด #Wlll
เมื่อครั้งเกิดเหตุตึกเวิร์ลเทรดถล่ม คือต้นกำเนิดของการรุกรานชาติต่างๆ // ใช้ความเสียหายของประเทศไปถล่ม อัฟกานิสถาน ส่งทหารลงประเทศเขาโดยได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ (*จริงๆคือการล็อบบี้ UN // การส่งคนลงประเทศไปยึดเมืองต่างๆตรึงกำลังทหาร โดยอ้างว่าอุสซามะ บิลลาเดน คือผู้อยู่เบื้องหลังการถล่มตึก ( บิลลาดิน เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2500 ที่ซาอุดีอาระเบีย เป็นบุตรชายของเศรษฐี โมฮัมเหม็ด บิน อวัด บิน ลาดิน ซึ่งสนิทกับครอบครัวราชวงศ์ของซีเรีย ครอบครัวของบิน ลาดินมีรายได้ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
หลังจากประกาศโค่นบิลลาดิน ลงได้ แต่ยังตรึงกำลังทหารอยู่และส่งคนของตนเองลงสมัครเป็นประธานาธิบดีในประเทศอัฟกานิสถานโดยอ้างคำว่า ประชาธิปไตย
การตรึงกำลังอยู่ประเทศเขา เพื่อยึดจุดยุทธศาสตร์ในการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติเพราะรู้ดีว่า ประเทศตนเองมีรายได้หลักมาจากการค้าอาวุธ // จึงแสวงหาน้ำมันและแร่ธาตุต่างๆเพื่อยึดครอง//
การลงพื้นที่ในครั้งนั้นได้สร้างการเลือกฝั่งอย่างชัดเจนในพื้นที่แถบตะวันออกกลาง ผู้ต่อต้านชาติตนเองต่างๆหันมาสนับสนุนกับสหรัฐโดยได้รับอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆ(ขายอาวุธให้)เพื่อรบกับรัฐบาลตนเอง(และขายอาวุธให้รัฐบาลเขาด้วย) และมีกองกำลังติดอาวุธ จากการปกครองตนเองในรัฐเล็กๆอยู่ทั่วแถบตะวันออกกลาง โดยมีผู้เป็นเพื่อนสนิทของสหรัฐอย่าง อิสราเอลเป็นคนคอยให้ความช่วยเหลือ
จบตอนที่ 1
มาครับจะเล่าให้ฟัง ตอนที่2
ต้นกำเนิด #Wlll
ผ่านไป 15 ปีหลังจากตึกถล่ม เมื่อปี พ.ศ.2559
หลักฐานของรายงานสรุป28หน้าของคณะกรรมธิการสืบสวนสาเหตุ911ของสภาคอนเกรซที่ได้ระบุว่า
>>> รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย อยู่เบื้องหลังจากสนับสนุนผู้ก่อการร้าย911 ทำให้ครอบครัวหรือญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์911จำนวน3,000กว่าคนฟ้องร้องเรียกความเสียหายจากซาอุ //
>>>> ทางเอฟบีไอระบุว่าผู้ก่อการร้ายที่ไฮแจ๊คเครื่องบิน4 ลำเพื่อก่อเหตุ911 โดย2ลำได้ขับพุ่งชนตึกWorld Trade มีจำนวนทั้งหมด19คน โดย15คนเป็นชาวซาอุ ///
* === นี่คือจุดโยนความผิดให้ซาอุ ทั้งที่ทั้ง2 ต่างร่วมกันทำให้เกิดขึ้นเอง (อ่านต่อ ภาค3 ครับ จะขยายความให้ฟัง)
ซาอุปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ911 และขู่กลับว่าจะขายพันธบัตรสหรัฐและทรัพย์สินทุกอย่างในสหรัฐเพื่อขนเงินออก//
ซาอุเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐในโลกอาหรับ น้ำมันซาอุหนุนหลังเปโตรดอลล่าร์ และซาอุเป็นลูกค้าที่ซื้ออาวุธรายใหญ่สุดของสหรัฐ โดยมีงบกลาโหมต่อปีสูงถึง$80,000ล้าน ถือว่ามากเป็นอันดับ3 ของโลก สหรัฐจับมือกับซาอุในการก่อสงครามในตะวันออกลางมาตลอด
( อ่านต่อ ภาค3 จะขยายความให้ฟังครับ)
แผนการก่อสงครามเพื่อยึดครองน้ำมันยังคงดำเนินต่อมาทุกยุคทุกสมัย เป้าหมายคือยึดทั้งตะวันออกกลางต่อมา อเมริกา หาเรื่องอิรัก หาว่ามีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง
(ซัดดัมเคยเป็นผู้นำพรรคการเมืองหัวปฏิวัติของอิรัก ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มลัทธินิยมรวมชาติอาหรับโดยไม่อ้างอิงกับศาสนา การปรับระบบเศรษฐกิจให้ทันสมัย และระบอบสังคมนิยม)
แต่จนป่านนนี้ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าอาวุธทำลายล้างสูงนั้นตั้งอยู่ที่ใด แต่ที่เสียไปแล้วคือ บ้านเมือง เศรษฐกิจ และน้ำมัน
สหรัฐพยายามรักษาอำนาจในอิรัก แม้ว่าจะถอนทหารไปแล้ว แต่ยังคงมีทหารสหรัฐระดับที่ปรึกษาอยู่//เพื่อสร้างกองกำลังขึ้นมาใหม่ นั่นคือ ISIS //บ้านเมืองอิรักแตกสลาย ด้วยเหตุนี้อิหร่านจึงพยายามแทรกตัวเข้าไปในอิรัก เพื่อเติมช่องว่างทางการเมืองและเพื่อลดทอนอิทธิพลของสหรัฐและซาอุดิฯในอิรักไปในตัว///แม้ว่าอิหร่านและอิรักจะเคยรบกันถึง10ปีแต่อิหร่านกลับสามารถกลับเข้าไปมีอิทธิพลเหนืออิรักได้ในที่สุดในเวลานี้
------------------------------ จบตอน2 ราตรีสวัสดิ์ดิ์ดิ์ดิ์
เรามาดูรายได้ของบริษัทที่ขายอาวุธมากสุดในโลก 100 บริษัท (ปรับตามอัตราเงินเฟ้อถึง ปี 2018)
ปี 2002 มูลค่า 9.3 ล้านล้านบาท
ปี 2018 มูลค่า 12.7 ล้านล้านบาท
จากจำนวนนี้ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นมา 37%
โดยรายได้จากการขายอาวุธมากสุดมาจากบริษัทสหรัฐอเมริกา 7.5 ล้านล้านบาท ///บริษัทยุโรป 3.0 ล้านล้านบาท //บริษัทรัสเซีย 1.1 ล้านล้านบาท
หมายความว่า บริษัทค้าอาวุธจากสหรัฐอเมริกาครองส่วนแบ่งกว่า 59% ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะ 48 บริษัทจาก 100 บริษัทค้าอาวุธมากสุดในโลกก็เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน..
พบกันใหม่ตอนหน้า จะอัพเดทถึงปัจจุบันนี้เลยนะครับ เราจะมาติดตามสงครามโลกไปด้วยกัน
โฆษณา