7 พ.ค. 2020 เวลา 09:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับบุคคลที่หลายคนน่าจะรู้จักบ้างนิดหน่อยนะครับ นั่นก็คือ.. อริสโตเติลของเรานั่นเองนะครับ
เขาเป็นอีกบุคคลสำคัญคนหนึ่งของวงการวิทยาศาสตร์เลยนะครับ ตรงนี้อาจจะรู้สึกขัดกับภาพนะครับแต่ก็คือความจริงนะครับ ถ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะก็
เชิญทำความรู้จักกับ อริสโตเติลกันเลยครับ ถึงจะยาวหน่อยแต่ก็น่าสนใจอยู่นะครับ
เกิด : สตาธิรา (STAGIRA) แคว้นมาเซโดเนีย (MACEDONIA) กรีซ (GREECE)
ประมาณ 384 ปีก่อนคริสตกาล
เสียชีวิต : คาลคิส (CHALCIS) กรีซ (GREECE) ประมาณ 322 ปีก่อนคริสตกาล
ในสมัยโบราณคนเราเคยเชื่อกันว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ประกอบไปด้วยธาตุ 4 คือ คน
ลม ไฟ ชาวโลกได้พากันเชื่อทฤษฎีนี้มาเป็นเวลานานนับพันกว่าปี จึงได้มีผู้พิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้
เป็นความจริง ผู้ที่ทำให้ชาวโลกหลงเชื่อทฤษฎีนี้นั้นคือ อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีก
ผู้มีลีลาชีวิตที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย อริสโตเติล เกิดเมื่อประมาณ 384 หรือ 383 ปีก่อนคริสตกาล ที่เมืองสตากรา ในแคว้นมาเซโดเนีย (Macedonia) ทางตอนเหนือสุดของทะเลเอเจียน (Aegean Sea) เป็นลูกชายของ
ของนิโคมาคัส (Nicomachus) ผู้ดำเนินอาชีพทางการแพทย์ประจำอยู่ที่เมืองสตากิรา นั้น
เป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าอมินตัส ที่ 2 (King Amontas II) แห่งมาเซโดเมีย
ปู่ของเขาก็เคยเป็นแพทย์ประจำราชสำนักนี้มาก่อน นับว่าพ่อของเขาได้เจริญรอยตามปู่นั่นเอง
เมื่ออยู่ในวัยเด็ก อริสโตเติลได้ศึกษาศิลปวิทยาเบื้องต้นจากพ่อ ซึ่งส่วนมากเรียนหนักไป
ทางธรรมชาติวิทยา ต่อมาเมื่ออายุได้ 18 ปี อริสโตเติลก็เดินทางไปยังกรุงเอเธนส์ (Athens) ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปวิทยาการทั้งปวง อริสโตเติลได้เข้าไปศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาของเพลโต
(Plato) ปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรีกในขณะนั้น
อริสโตเติลเป็นเด็กที่แข็งแรง ว่องไว มีปัญญาเฉียบแหลม และมีความขยันหมั่นเพียรใน
การศึกษาเป็นเลิศ จึงทำให้เป็นที่รักใครชื่นชมของเพลโตครูของเขามาก อริสโตเติลใช้เวลาวันหนึ่ง ๆ
อยู่กับการศึกษาเล่าเรียนให้มากที่สุด มีเวลานอนอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง
ในการอ่านหนังสือ ถึงจะง่วงแสนง่วงเขาก็ต้องฝืนใจไม่ยอมนอนง่าย ๆ วิธีอ่านหนังสือของเขาก็มักมีวิธีแปลก ๆ
นั้นคือใช้มือหนึ่งถือก้อนตะกัวไว้ก้อนหนึ่ง ส่วนที่พื้นก็มีอ่างทองเหลืองมาวางไว้ตรงกับมือที่ถือตะกั่ว
เมื่อเวลาเขาง่วงจัด ก้อนตะกั่วก็จะหล่นลงไปในอ่างทองเหลืองก็จะเกิดเสียงดังทำให้ตกใจตื่นขึ้นจนหายง่วงแล้วอ่านหนังสือต่อไป
(ดูน่าสนใจนะครับวิธีนี้😆)
ขณะที่มาศึกษาอยู่กับเพลโตนี้ทำให้เขามีความรู้กว้างขวางขึ้น นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้
แสดงความคิดเห็นต่าง ๆ โดยอิสระ บางอย่างเขาก็มีความคิดเห็นคล้อยตามเพลโต แต่ทฤษฎีบาง
อย่างที่เพลโตสอนเขาเมื่อนำมาคิดใคร่ครวญดูแล้ว เขาไม่เห็นด้วยก็มีอยู่มาก แต่เขาเป็นคนฉลาด
ถ้าสิ่งไหนไม่เห็นด้วยก็นิ่งเฉยเสียไม่แสดงความคิดเห็นคัดค้านแต่ประการใด
อริสโตเติลศึกษาเล่าเรียนอยู่กับเพลโตประมาณ 20 ปี คือจนเพลโตถึงแก่กรรมในปี 347
ก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นอริสโตเติลจึงออกเดินทางจากกรุงเอเธนส์ไป เนื่องจากความสามารถใน
การเรียนของเขาทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังแพร่สะพัดไปตามเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ดังนั้น เขา
จึงได้รับเชิญให้ไปยังเมืองมาเซโดเนีย เพื่อไปรับตำแหน่งเป็นพระอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์ ซึ่ง
ขณะนั้นก็มีพระชนมายุได้ 13 พรรษา และรับราชการอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าฟิลิปแห่งมาเซโดเนีย
(King Philip of Macedonia) พระราชบิดาของ
อเล็กซานเดอร์ ในปี 343 342 ก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาปี
336 ก่อนคริสต์ศักราช อเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระเจ้าฟิลิป พระองค์ได้ระลึกถึง
บุญคุณของอริสโตเติลจึงได้ให้ทุนแก่เขาเดินทางไปที่สตากิราบ้านเกิดเมืองนอนของเขา และให้ทุน
ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น อริสโตเติลจึงเดินทางไปยังเมืองเอเธนส์อีกครั้งหนึ่ง และเขาได้จัดตั้ง
โรงเรียนของเขาขึ้นเอง ให้ชื่อว่า ไลเซียม (Lyceum) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น
อริสโตเติลได้ทำการศึกษาและค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ และเขียนหนังสือไว้มากมายประมาณ
400 - 1,000 เล่ม ซึ่งหนังสือเหล่านี้ยังเป็นที่สงสัยกันว่าเขาเขียนคนเดียวทั้งหมดหรือว่ารวบรวมมา
จากบรรดาเพื่อน ๆ นักวิทยาศาสตร์ หรือนักปราชญ์ร่วมสำนักกันในสมัยนั้น หนังสือเหล่านี้มีหลาย
แขนงวิชาและเขียนไว้อย่างกว้างขวางยากที่คนคนเดียวจะทำสำเร็จได้ ตามทางสันนิษฐานเข้าใจว่า อริสโตเติลคงเป็นบุคคลหนึ่งในจำนวนนักวิทยาศาสตร์ประจำราชสำนัก และพวกนี้ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวหาความรู้จากกรีกบ้าง เอเชียบ้าง ทั้งทางบกและทางทะเล และได้รวบรวมความรู้ต่าง ๆ
ส่งมาให้อริสโตเติลบันทึกไว้และแยกออกเป็นหมวดหมู่ในภายหลัง
เมื่ออริสโตเติลจัดแบ่งหมวดหมู่ของงานที่ได้รวบรวมไว้ เขาก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
แล้วก็ตั้งเป็นทฤษฎีขึ้น แล้วจึงหาเหตุผลมาประกอบหรือพิสูจน์โดยอาศัยหลักทางตรรกวิทยา
แต่ไม่ได้ทำการทดลองจริง ๆ ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าเขาจะเป็นนักตรรกวิทยาชั้นเลิศก็ยังมีผิดพลาดได้
เพราะความจริงที่เขาเชื่อถือและนำมาเป็นสิ่งอ้างอิงในการพิสูจน์นั้นบางครั้งก็หาได้ถูกต้องไม่
เขาเองก็ยังคงหลงเชื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นนิยายปรัมปรา ทั้งเรื่องราวต่าง ๆ บางเรื่องเขาก็มักจะ
สรุปเอาง่าย ๆ โดยไม่พิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน แล้วเขาก็ทำการสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ของเขาไป
โดยไม่ทราบว่ามันผิดหรือถูกอย่างไร บรรดาลูกศิษย์ของเขาก็หลงเชื่อและทำการสอนกันต่อไปเป็น
ทอด ๆ ด้วยเหตุนี้เอง คำสอนของอริสโตเติลจึงแพร่หลายและมีคนหลงเชื่อกันมาเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ความผิดพลาดของอริสโตเติลที่เห็นได้ชัดก็คือ
ทฤษฎีของเขาที่กล่าวว่า “วัตถุที่หนักจะตกลงถึงพัน
โลกเร็วกว่าวัตถุที่เบา” ทฤษฎีนี้เชื่อกันเรื่อยมาจนถึง ค.ศ. 1600 จนกระทั่งกาลิเลโอ (Galileo : 1564 -
1642) นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีของอริสโตเติลผิดพลาดต่อหน้า
มหาชนที่หอเอนเมืองปิซา (Pisa) โดยกาลิเลโอได้ทิ้งของที่หนักและของที่เบาแตกต่างกันลงมาจาก
ยอดหอคอยที่เมืองปิซา ปรากฎว่าของนั้นตกถึงพื้นดินพร้อมกัน ถึงแม้ว่าจะมีคนจำนวนมากได้เห็น
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างประจักษ์แจ้งในวันนั้นแล้วก็ตาม บรรดาคนเหล่านั้นก็ยังหาได้เชื่อคำ
พิสูจน์ของกาลิเลโอไม่ เพราะทฤษฎีของอริสโตเติลยังคงมีอิทธิพลฝั่งแน่นอยู่ในจิตใจอย่างถอนได้ยาก
ต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวดัชได้ใช้ลูกกลมทำด้วยตะกัว 2 ลูก ลูกหนึ่งหนักเป็น 10 เท่า
น่งหนกเป็น 10 เท่าของอีกลูกหนึ่ง
เขาโยนลงมาจากหน้าต่างพร้อม ๆ กันทั้ง 2 ลูก หน้าต่างนั้นอยู่สูงกว่าพื้นดิน 30 ฟุต ก็ปรากฎว่าลูก
กลมตะกั่วทั้ง 2 ลูกนั้นตกถึงพื้นดินพร้อมกันอีก พอเห็นการพิสูจน์ครั้งนี้ทำให้ประชาชนเริ่มคิดได้ (ในจุดนี้ถ้าใครงงหรือมีคำถามในใจให้เก็บเอาไว้ก่อนนะครับจะอธิบายเรื่องนี้ในประวัติของกาลิเลโอนะครับ)
และมีความเห็นว่าทฤษฎีของอริสโตเติลนั้นคงจะผิดเป็นแน่
นอกจากนี้ อริสโตเติลยังได้กล่าวไว้ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีคุณสมบัติอยู่ 4 อย่างคู่
กัน คือ ร้อนกับเย็น และเปียกกับแห้ง และคุณสมบัติเหล่านี้ที่เป็นหลักอธิบายว่าโลกประกอบด้วยธาตุ 4 อย่าง ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ก็จะต้องมีธาตุทั้ง 4 นี่เป็นองค์ประกอบ
และเข้าใจว่า ความแห้งกับความเย็นทำให้เกิดธาตุดิน ความชื้นกับความเปียกทำให้เกิดธาตุน้ำ
ความร้อนกับความเปียกทำให้เกิดธาตุลม และความร้อนกับความแห้งทำให้เกิดธาตุไฟ เป็นต้น
เขายังได้กล่าวต่อไปอีกว่า ธาตุทั้ง 4 นั้นยังเปลี่ยนไปมาหาสู่กันได้
ในเรื่องของจักรวาลนั้นอริสโตเติลเข้าใจว่า โลกของเรานั้นหยุดอยู่นิ่งกับที่ไม่เคลื่อนไหว
ทั้งยังเป็นศูนย์กลางของบรรดาดวงดาวต่าง ๆ เช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์อื่น ๆ
ต่างก็ต้องหมุนรอบโลก นอกจากนี้ยังเข้าใจอีกว่าสวรรค์นั้นอยู่นอกอวกาศ โลกอยู่ด้านล่างลงมา น้ำ
อยู่บนพื้นโลก ลมอยู่เหนือน้ำ และไฟอยู่เหนือลมอีกที่หนึ่ง ธาตุต่าง ๆ ทั้ง 4 อย่างของโลกจะ
เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ว่าธาตุต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของสวรรค์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะมี
รูปร่างอยู่เช่นนั้นตลอดไป
คำสอนของคริสโตเติลตอนนี้ไปพ้องกับคำสอนของศาสนาเข้าพอดี ดังนั้น ใครที่เข้าใจว่า
คำสอนของอริสโตเติลผิดและไม่เชื่อถือก็จะเป็นการดูหมิ่นศาสนาด้วย จะต้องได้รับโทษหนักโดยถูก
เผาไฟทั้งเป็น ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้คำสอนของอริสโตเติลมีคนเชื่อถือมาก ไม่มีใครจะสามารถ
ลบล้างได้ง่าย ๆ
ต่อมาใน ค.ศ. 1609 โจฮันน์ เคพเลอร์ (Johann Kepler : 1571 - 1630) นักดาราศาสตร์
ชาวเยอรมันได้ค้นพบว่าดาวเคราะห์ต่างก็โคจรเป็นวงรีและโคจรรอบดวงอาทิตย์ ไม่ใช่โคจรรอบโลก
และในเรื่องของจักรวาลนี้ มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง แต่เคพเลอร์ก็ต้องลำบากใจอยู่มาก เพราะ
ความจริงอันนี้ไปค้านกับคำสอนของอริสโตเติลและของศาสนาด้วย
ความผิดพลาดของอริสโตเติลดังกล่าวแล้วนี้เองทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์
หยุดชะงักไม่ก้าวหน้าไปเท่าที่ควรจะเป็นถึงกับทำให้นักวิทยาศาสตร์บางคน เช่น
โรเจอร์ เบคอน (Roger Becon : 1214 - 1292) นักปราชญ์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าข้าพเจ้ามีอำนาจที่จะทำอะไร ๆ ได้
ตามใจชอบละก็ ก่อนอื่นข้าพเจ้าจะเก็บเอาตำรับตำราของอริสโตเติลที่มีอยู่ทั้งหมดมาเผาไฟเสียให้
สิ้นซาก ทั้งนี้ก็เพราะว่านอกจากมันจะทำให้เสียเวลาในการศึกษาแล้ว ยังทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ที่ ผิดๆ ๆ พลาด ๆ ไม่มีแก่นสาร เป็นการเพิ่มความโง่เขลาให้แก่ตัวเองโดยไม่จำเป็น ที่เขากล่าวเช่นนั้น
ก็เพราะว่า ทฤษฎีของอริสโตเติลที่เขียนไว้ในหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของฟิสิกส์และดาราศาสตร์นั้นมัน
ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง จนไม่สามารถจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลย
แต่ถ้าจะพูดกันไปแล้ว ทฤษฎีของอริสโตเติลก็ไม่ใช่ว่าจะผิดไปเสียหมดทุกอย่าง ส่วนที่ถูก
ของเขาก็มีอยู่เหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ในทางชีววิทยา (biology) นั้นเป็นที่ยกย่องกันมาก ความรู้เหล่านี้เขาได้รวบรวมไว้ก่อนที่เขาจะได้มาเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
เขาได้ใช้เวลา 2 ปีเต็มไปอยู่ที่เกาะเกาะหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediteranian)
กับชีวิตของสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลา และพวกสัตว์เลื้อยคลาน เขาสังเกตและบันทึกไว้อย่างละเอียดมาก นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวของพืชแทรกไว้อีกเล็กน้อย
อริสโตเติลได้บันทึกเรื่องราวของชีวิตและนิสัยของสัตว์ที่เขาได้ศึกษามาอย่างถี่ถ้วน ได้ศึกษาถึงวิธีการที่จะผ่าตัดส่วนต่าง ๆ ของสัตว์พวกนี้ ศึกษาเรื่องไข่และความเจริญเติบโตทุกระยะของสัตว์ที่เกิดจากไป เขาได้ใช้เวลาส่วนมาก
สำรวจน่านน้ำของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อสะสมของตัวอย่างจากทะเล และเฝ้าสังเกตสัตว์ต่างๆ
ดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ เขายังได้จัดแบ่งสัตว์ออกเป็น 2 พวกใหญ่ คือ
-พวกมีกระดูกสันหลัง (brates)
-และพวกไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrates)
และเขามีความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้น
แล้วจะต้องมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด นับว่าอริสโตเติลเป็นผู้บุกเบิกความรู้
ชีววิทยาให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์ในสมัยต่อๆ มาเข้าใจดีขึ้นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ได้
เกิดขึ้นตามบุญตามกรรม แต่เกิดมาโดยกระบวนการทางธรรมชาติ
อริสโตเติลไม่เพียงแต่เป็นนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น เขายังเป็นนักปรัชญาด้วย เขาได้อธิบาย
ลักษณะของสุภาพบุรุษได้ว่า “ผู้ที่เป็นสุภาพบุรุษนั้นย่อมมีความสม่ำเสมอไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างโชคดีหรือเคราะห์ร้าย ไม่วางท่าเย่อหยิ่งจองหอง และไม่ทำตนไปในทางเสื่อมเสียเกียรติยศ
ไม่ยินดีจนเกินไปเมื่อได้รับผลสำเร็จ และไม่เสียใจจนเกินไปเมื่อผิดหวังๆ นอกจากนั้น
อริสโตเติลยังได้อธิบายเป็น
กับเรื่องความสุขและความดีไว้ว่า “ความสุขความทุกข์ของบุคคลนั้นอยู่ที่การกระทำ
การกระทำความดีนั้นต้องอยู่ที่การปฏิบัติจริง ๆ ไม่ใช่อยู่ที่ทฤษฎี”
อริสโตเติลได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการเมืองและนักการศึกษาชั้นเยี่ยมอีกด้วยเขา
ได้กล่าวไว้ว่า “การศึกษาจะต้องคล้อยตามแนวทางการปกครองประเทศ
ประเทศชาติจะเจริญรุ่งเรืองได้ต้อง
อาศัยพลเมืองที่มีความรู้และการศึกษาที่ ตลอดจนมีความประพฤติดีด้วย ดังนั้นรัฐควรจัดการศึกษา"
ให้พอเพียงและเหมาะสมกับความต้องการของพลเมือง เอกชนควรจะมีส่วนร่วมในการติด
ด้วย
จึงนับได้ว่าอริสโตเติลเป็นบุคคลแรกที่ได้ให้หลักประชาธิปไตยไว้
ความจริงอริสโตเติลก็นับได้ว่าเป็นผู้มีความรู้มากสมกับที่เป็นนักปรัชญาเมธี
เขาเป็นคนชอบคิดแต่ไม่ชอบทดลอง การพิสูจน์หาข้อเท็จจริงโดยมากก็อาศัยความรู้ทางตรรกวิทยาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ความรู้ต่าง ๆ ที่เขานำมาสั่งสอนจึงมีบางเรื่องผิดพลาดไป แต่ถึงอย่างไรก็ดี
อริสโตเติลก็สมควรยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่ง ถ้าไม่คำนึงถึงความผิดพลาดบางอย่างของเขา งานบางอย่างของเขาก็ช่วยขจัดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ได้มากเหมือนกัน H.G well ได้เขียนไว้ในหนังสือ outline of History ยกย่องว่า อริสโตเติลเป็นผู้บุกเบิกทางก้าวหน้า ให้แก่วงการวิทยาศาสตร์ในรุ่นหลัง อยู่ไม่น้อย และอริสโตเติลควรจะได้รับการยกย่องให้เป็น นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลกอีกด้วย
เป็นยังไงกันบ้างครับกับประวัติทางวิทยาศาสตร์บางส่วนของอริสโตเติล สนุกและได้ความรู้กันบ้างไหมครับ?
ถ้ามีคำถามหรือข้อชี้แนะก็อย่าลืมมาคอมเม้นท์คุยกันเกี่ยวกับหัวข้อต่างในโพสต์นี้กันนะครับ
ถ้าหากใครสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของวงการวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งเรื่องราวเล็กน้อยขนาดอะตอม ไปจนถึงเรื่องราวอันใหญ่โตของจักรวาล เราจะอธิบายให้แม้กระทั่งคนแก่ยังเข้าใจ ก็อย่างลืมกดติดตามรับข่าวสารจาก นักวิทยาศาสตร์มือใหม่คนนี้นะครับ
reference : หนังสือนักวิทยาศาสตร์เอกของโลก
3
โฆษณา