Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Ohm.Mar
•
ติดตาม
7 พ.ค. 2020 เวลา 10:14 • ไลฟ์สไตล์
แล้วที่แห่งไหนคือความสบายใจของชีวิต
ในวันที่อากาศค่อนข้างร้อนระอุการตื่นขึ้นมาในเวลาประมาณสิบโมง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแรกของวันที่สามารถทำให้เป็นประเด็นได้ เมื่อคืนนอนกี่โมง ทำไมตื่นเวลานี้ คำเปรียบเทียบ การยกตัวอย่างคนนั้นคนนี้ เห็นคนบ้านนี้มั้ย เห็นคนนั้นมั้ย ต้องทำแบบนี้นะ ต้องทำอันนี้นะ ต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้
เมื่อเราพยามอธิบายเหตุผลและตั้งคำถามกลับไปทำไมต้องเอาชีวิตไปยึดติดกับคนอื่น แล้วแบบไหนล่ะคือตัวตนของเราจริงๆ คำตอบที่ได้กลับคืนมา ก็ยังวนเวียนแต่เรื่องของตื่นสายคือคนขี้เกียจ คนที่ว่างคนที่ไม่ทำอะไร นี่เป็นเหตุผลที่สามารถตัดสินทุกคนได้ให้ตกเป็นจำเลยโดยไม่มีข้อโต้แย้งเลยหรือ พอในวันที่ตื่นเช้ามาแล้วกลับพบกับความว่างเปล่าไม่มีอะไรให้ทำในวันนั้นๆ การหยิบจับโทรศัพท์หรือหนังสือขึ้นมามักกลายเป็นอีกประเด็น ตื่นมาก็ไม่ทำอะไร ทำไมไม่ไปทำแบบนี้ ไม่ทำแบบนั้น ทำไมปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าประโยชน์เช่นนี้
ในวัยที่ก้าวย่างสู่วัย23ปี การกลับมาอยู่บ้านหลังจากการจบการศึกษา กลับกลายเป็นแรงกดดันมหาศาล การที่ยังคงไม่มีพื้นที่ปลอดภัย การพยามปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็กลับกลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่มีแต่การดูถูกและซ้ำเติมว่า เป็นแบบนี้จะไปทำอะไรรอด เพียงเพราะบางอย่างที่เราทำนั้นไม่ตอบสนองต่อความต้องการที่เขาต้องการก็จะกลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถในทันที ทุกย่างก้าวในการใช้ชีวิตยังคงถูกกำหนดและควบคุมให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นแบบเหตุผลที่ว่าเห็ยมั้ยคนอื่นยังทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้
หากแต่คนส่วนใหญ่มักบอกว่าบ้านคือพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดเป็น safezone หากแต่ผมคงเป็นคนส่วนน้อยของสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ด้วยการถูกหล่อหลอมขึ้นมาพร้อมกับคำว่าลูกที่ตามมาด้วยสิ่งสำคัญที่ถูกปลูกฝังผ่านชุดความคิดต่างๆว่าด้วยเรื่องความกตัญญู ความเป็นลูกถูกลดทอนความมเป็นมนุษย์ลงไป การมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกลายเป็นประเด็นที่สำคัญที่อาจจะถูกตราหน้าจากสังคมรอบข้างว่าเป็นคนก้าวร้าว หรือบางครั้งนำมาซึ่งคำที่ค่อนข้างทำร้ายจิตใจ เช่น อกตัญญู(ส่วนตัวค่อนข้างsensitive กับคำพูด)
การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปกลับกลายเป็นความผิดที่ค่อนข้างรุนแรงในเชิงที่บอกว่านี่คุณกำลังเถียงผู้ที่มีบุญคุณบุคคลผู้ให้กำเนิดและส่งเสียมา ระวังไว้เถอะสักวันบาปกรรมจะตามสนอง ประเด็นเรื่องเวรกรรมถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้ง หากย้อนกลับไปสักราวๆหลายๆปีก่อน เราคงเลือกใช้คำว่าอดทน อดทนนะ ยังไงเสียเขาก็คือผู้มีบุญคุณกับเรา ซึ่งมองในแง่ของความเป็นจริงก็จะกลายเป็นปัญหาที่สะสมที่ไม่ได้รับการแก้ไข
การตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ กับชุดความคิดของผู้ใหญ่ที่มักจะบอกว่านี่ผ่านโลกมาก่อนนะ เจออะไรมาเท่าไหร่ โดยการตัดสินทุกอย่างโดยความคิดตัวเองเป็นหลักและพยามให้ทุกคนได้ดั่งใจที่เขาอยากจะให้เป็น ซึ่งหลายครั้งพยามที่จะหาเหตุผลมาชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่กำลังพูดอยู่นั้นบางทีมันอาจจะมีเหตุผลอื่นๆที่ควรจะเปิดใจยอมรับบ้าง สำหรับตัวผมที่เจอมาสิ่งหนึ่งที่เจอมาตลอดคือการไม่ยอมก้าวความชุดความคิดเดิมๆที่ตนเองเชื่อและประสบพบเจอและมักจะนำประสบการณ์นั้นๆมาตัดสินกับปัจจุบัน
การคุยกันด้วยเหตุผลมักจะเปลี่ยนเป็นอารมณ์เข้ามาตัดสินทุกครั้ง จนสุดท้ายเราก็ต้องยอมเพียงเพราะเราไม่อยากเป็นคนอกตัญญูทั้งๆที่บางครั้งหรือบางเรื่องนั้นมันก็ผิดและยังคงผิดมาแบบนั้นโดยไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อเลือกที่จะเชื่อกฎแห่งกรรมมากว่าความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า ร้อยพันเหตุผลใดๆก็ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้และถูกปัดตกลง และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมไม่มีทางออก และไม่รู้จะระบายกับใคร
อีกหนึ่งปัญหาในมุมมองความคิดของผมคือปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคม ในสังคมที่ผมเติบโตมาคือสังคมชนบทที่ทุกคนเสมือนญาติกัน การมีน้ำใจและการช่วยเหลือกันเป็นเรื่องที่ดี ฉะนั้นเรื่องของความเป็นส่วนตัวจึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากคนรอบข้าง บางครั้งความหวังดีและความห่วงใยก็มาในรูปแบบของการบั่นทอนจิตใจด้วยคำพูดโดยไม่รู้ตัว
ลูกป้านะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แล้วเราล่ะ พ่อแม่เรานะ ป้าว่าบลาๆ ในขณะที่กำลังจิวารณ์ (เล่าขวัญ ในภาษาเหนือ)คนนั้นคนนี้อย่างสนุกปาก ด้วยการตัดสินจากชุดความคิดของตนเองนั้น โดยที่ลืมมองว่าไป ตัวเราดีแล้วหรือยังถึงจะไปวิจารณ์คนอื่น หากแต่เรื่องที่วิจารณ์นั้นเราก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ก็จะมีประโยชน์อะไร ทั้งที่ความเป็นจริงก็ยังไม่เข้าใจและรู้จักตนเองเลย แต่ตัดสินคนอื่นด้วยชุดความคิดของตนเองและพยามทำให้ทุกคนรอบข้างคล้อยตามไปด้วย
สิ่งหนึ่งที่ประสบพบเจอคือสังคมที่ยังคงให้ความสำคัญกับการที่ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงยังคงติดอยู่ขนบความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่อดีต(กลายเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและเปราะบางเหลือเกิน)คือการเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี จนทำให้หลายๆคนนั้นลืมนึกถึงเรื่องของการพึ่งตาตนเองและศักดิ์ศรีที่มักถูกเหยียบย่ำจากชุดความคิดของสังคมชายเป็นใหญ่ การที่ผู้หญิงไม่ค่อยมีบทบาททางสังคมในวิถีชีวิตชนบท สิ่งที่พวกเขาส่วนใหญ่ทำได้ก็คือการก้มหน้าทำหน้าที่ของตนโดยไม่เกิดการตั้งคำถาม เพียงเพราะคำว่าหน้าที่ภรรยาหรือแม่ที่ดีควรจะเป็นแบบนี้บลาๆ โดยไม่มีข้อโต้แย้ง (อันนี้จากมุมมองที่ผมเจอนะครับ ไม่ได้ตัดสินจากทั้งหมด)
หลังจากหมดภาระหน้าที่ทำในแต่ละวัน การพบเจอเพื่อนบ้านที่แวะเวียนมาหากันเป็นประจำวันเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของแต่ละวันคืออะไรล่ะ คือการจับกลุ่มพูดคุยปัญหาต่างๆที่ตนพบเจอ แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่า คนที่เรากำลังสนทนาด้วยเขาจะฟังและตัดสินด้วยความเป็นกลางทางความคิดโดยไม่มีความคิดหรืออคติตัวบุคคล ส่วนใหญ่ที่พบเจอก็คือการนำไปเล่าต่อปากสู่ปาก เป็นวัฏจักรที่วนเวียนไม่จบสิ้น
ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะปล่อยผ่านไป แต่หากมันเริ่มขยับเข้ามาใกล้กับสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดของเราคือครอบครัวเราเองล่ะ เราจะมีวิธีการรับมืออย่างไร โดยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ได้ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องประเภทนี้ การที่เราใช้ความคิดหมดไปกับการคิดแทนคนนั้นคนนี้ ความห่วงใยในรูปแบบของการอยากไปรู้ไปเห็นชีวิตของคนอื่นทุกเรื่อง คนนั้นจะเป็นยังไง คนนี้จะเป็นยังไง มันจะทำให้เสียเวลาชีวิตของเราไปโดยใช่เหตุ
ในทัศนคติของผมมองว่าถ้าเราตัดเรื่องพวกนี้ออกไปจากชีวิตได้โฟกัสแต่สิ่งที่เราต้องเจอในแต่ละวัน การมี Passionในทุกการตื่นนอนตอนเช้า มันทำให้ชีวิตมีความหมายมากกว่าการสนใจเรื่องคนอื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง เราจะมีเวลาไปทำอะไรที่มันเป็นนิยามของความสุขให้กับตัวเราเองได้ แต่สุดท้ายเมื่อผมอยู่ที่บ้าน เรื่องพวกนี้ก็ยังคงวนเวียนมาอยู่เสมอ การพยามหลีกเลี่ยง กลับกลายเป็นเรื่องผิดแปลก
การที่เราเริ่มต้นให้ความสำคัญกับตัวเราก่อน กลายเป็นที่เรื่องที่แปลกใหม่และถูกมองว่าคอยดูเถอะสักวันมันจะไม่เหลือใครคอยช่วยเหลือ คอยดูนะว่าชีวิตมันจะไปรอดได้สักเท่าไหร่กันเชียว ในทางกลับกันเมื่อผมตั้งคำถามว่า การไปให้ความสำคัญกับชีวิตของคนนั้นคนนี้จนบางครั้งเราก็เป็นทุกข์เสียเอง ทุกข์จากความอิจฉา ทุกข์จากความสงสาร ทุกข์จากสิ่งต่างๆที่ต้องมาแบกรับ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเราสามารถเลือกที่จะทำให้มันมีความสุขด้วยทัศนคติและการก้าวข้ามชุดความเชื่อเดิมไปได้
ก็จะถูกสะท้อนกลับมาด้วยด้วยชุดความคิดคล้ายดังเดิมแค่เปลี่ยนแปลงคำพูด เช่น ดูเถอะดูสิ ทำตัวออกห่างจากรอบข้าง มันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ไปแล้วแน่ๆบลาๆสารพัดคำพูดที่พูดคุยกับอย่างสนุกปากและมีอรรถรสทุกครั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องที่คุยกันแล้วเรามีปฏิกิริยาที่ตอบโต้กันได้สนุกที่สุดก็คงไม่พ้นการนินทาหรือวิจารณ์คนอื่น แน่นอนครับว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พยามจะสื่อสารมาทั้งหมดมันอาจจะเป็นแค่ความอัดอั้นที่พยามจะอธิบายออกไปแต่ก็ถูกปัดตกลงไปและไม่ได้รับการยอมรับ
หากแต่มนุษย์ทุกคนแสวงหาความสุขและพยามหลีกเลี่ยงความทุกข์ หนึ่งในความทุกข์ที่ผมพบเจอและพยามหลีกเลี่ยงก็คือเรื่องที่นำมาเล่าผ่านตัวอักษรนี่แหละ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย