8 พ.ค. 2020 เวลา 06:34 • การศึกษา
พื้นฐานตรีธาตุ
ตรีธาตุคือ ธาตุภายในร่างกายที่คอยขับเคลื่อนให้กายนี้ทำงานเป็นปกติ ให้ไหวกายไหววาจา ให้เรากิน ใช้กำลัง ขับถ่ายและนอนหลับในชีวิตประจำวัน
ตรีธาตุถ้าเราวัดด้วยปริมาตร จะพบได้ ๒ ตัวคือปิตตะ และเสมหะ(ศเลษมะ)
- ศเลษมะ มีปริมาณ ๗ อัญชลี (๒๓๕๒ กรัม)
- ปิตตะ มีปริมาณ ๖ อัญชลี (๒๐๑๖ กรัม)
- แต่ส่วน วาตะ วัดเป็นปริมาณไม่ได้
ตรีธาตุนี้ ทางโบราณถือว่า เป็น ชีวทรวยะ ( อ่านว่า ทะระวะยะ แผลงเป็น ทรัพย์ )
1
คุณสมบัติของตรีธาตุ
ตัวแรกเลยศเลษมะ
ชื่อและที่ตั้งศเลษมะ (เสมหะ อาโป น้ำ) ตำแหน่งที่ตั้ง ๕ แห่ง
- กเลทกะศเลษมะ - ที่ปาก กระเพาะอาหาร (อามาศัย)
- อวลัมพกะศเลษมะ -ที่อก
- โพธกะศเลษมะ- ที่ในปาก
- ตรปกะศเลษมะ- ที่ศีรษะ
- ศเลษกะศเลษมะ- ที่ข้อกระดูก
คุณภาพหรือลักษณะของ ศเลษมะ หรือ เสมหะ
(๑) สนิคธะ (เหนียวมาก) (๒) ศีตะ (เย็น) (๓) คุรุ (หนัก) (๔) มณฑะ (แช่มช้า) (๕) สลักษณะ (อ่อน) (๖) มรุตสนะ (ลื่น) (๗) สถิระ (สถิตนิ่ง)
- ศเลษมะ ถ้าดิบรสเค็ม ถ้าสุกรสหวาน
- ศเลษมะ มีหน้าที่ทำให้ร่างกายนุ่มนวลละมุนละม่อม ช่วยในการให้เกิดกำลัง ความเข้มแข็ง ความอดทน
- ศเลษมะ มีลักษณะเหนียวอ่อนและชุ่มชื้น ทำให้ลิ้น ปาก คอ ชุ่มทำให้เกิดน้ำลาย น้ำไขข้อกระดูก ทำให้เยื่อเมือก หรือเยื่อมูก (mucous membrane) เยื่อน้ำเหลือง (Serous membrane) ชุ่ม ลื่น และถูไถ เคลื่อนไหวคล่อง
คำว่า ศเลษมะ มาจากคำ ศลิษะ กับ อาลิงคณะ แปลว่า สิ่งยึดเหนี่ยว หรือผูกพันค้ำจุนสิ่งทั้งหลายให้เข้ากัน ถ้าเราจะพิจารณาดูอวัยวะทุกอย่างในร่างกาย ที่เห็นเป็นดุ้น เช่น กระดูก หรือเป็นก้อน เป็นแผ่น เป็นมัด เป็นชิ้น เช่น กล้ามเนื้อ และเนื้อของอวัยวะทั้งหลาย ประกอบกันขึ้นด้วยปรมาณู หรือเซลล์ เป็นจำนวนมากมาย เหลือที่จะคณนา เกาะยึดรวมกันอยู่เป็นอวัยวะ เป็นพวกๆ กระทำหน้าที่ได้นั้น ปรมาณูทั้งหลาย เกาะติดกันอยู่ได้ด้วยอะไร?
ปัจจุบันว่า เกาะติดกันอยู่ เพราะใยหรือเนื้อประสาน (Connective tissues) แต่ใยประสานนั้น โบราณว่า ต้องมี ศเลษมะ ศเลษมะของโบราณมีหลายลักษณะ คือใยเสลดที่ประสานปรมาณู (Connective tissues) โบราณเรียก อวลัมพกะศเลษมะ คือ ยึดไว้พยุงไว้
ศเลษมะ ทั้งหลายยังเป็นพาหนะนำอาหารเข้าเลี้ยงปรมาณูได้ด้วย ศเลษมะ มีอำนาจผูกพันอาหารต่างๆ ที่กินเข้าไป และทำให้อาหารอ่อนลงเพื่อให้ปาจกะปิตตะ ทำการย่อยได้ดี ศเลษมะที่ผูกพันอาหารนี้ เรียก กเลทกะศเลษมะ เช่น น้ำลาย เมือกต่างๆ
ศเลษมะ ยังเป็นโพธกะศเลษมะ คือละลายอาหารให้ลิ้นรู้รส ที่สำคัญอย่างอื่นอีก คือผูกพันและหล่อลื่นอวัยวะที่ถูกไถกัน เช่น ระหว่างกระดูกกับกระดูก ระหว่างกล้ามเนื้อกับกระดูก ฯลฯ
ศเลษมะ มีหน้าที่หล่อเลี้ยงและประคับประคองมันสมอง เรียก ตรปกะ ศเลษมะ
ตัวที่สองปิตตะ (เตโช อัคนี ไฟ)
ชื่อและตำแหน่งที่ตั้ง มี ๕ ตำแหน่ง
- ปาจกะปิตตะ ระหว่าง อามาศัยกับไส้เล็ก (ปกวาศัย)
- รนชกะปิตตะ ที่ตับ ม้าม
- สาธกะปิตตะ ที่หัวใจ
- อาโลจกะปิตตะ ที่เยื่อชั้นในสุดของนัยน์ตา (Retina)
- ภราชกะปิตตะ ที่หนัง
คุณภาพหรือลักษณะของ ปิตตะ
(๑) สเนหะ (ข้นเหนียวเล็กน้อย) (๒) ตีกษณะ (ว่องไว) (๓) อุษณา (ร้อน) (๔) ลหุ (เบา) (๕) วิศรุม (มีกลิ่นคาวเลือดนิดหน่อย) (๖) ศรมะ (ซึมซาบเร็ว) (๗) ทรวัม (เหลว)
ปิตตะ รสขม ร้อน เหนียวเป็นยางนิดหน่อย ซึมซาบเร็ว
สีต่างๆ ถ้าดิบเป็นสีเขียว ถ้าสุกเป็นสีเหลือง
ปิตตะ เป็นผู้กำเนิดของความร้อน หรือความอบอุ่นของร่างกาย
การย่อยอาหาร ความหิวกระหาย
ความคิดสติปัญญา ความจำ
ความละมุนละม่อมของร่างกาย ความเปล่งปลั่ง
ความสดชื่นร่าเริง ผิวพรรณ ดวงตา
ความกล้าหาญ อดทน ความโกรธ ความดีใจ เสียใจ ความพอใจ ความหลง (โมหะ) ความไม่หลง (อโมหะ)
ปิตตะ เป็นตัวการสำคัญในการย่อยอาหารต่างๆ แล้วจำแนกออกเป็น รสธาตุ ปัสสาวะ อุจจาระ ย่อยอาหารและส่งอัคนีเพื่อเลี้ยงร่างกาย (ปาจกะปิตตะ) ทำให้ รสธาตุ และร่างกายมีสี (รชนกะปิตตะ) ทำให้เกิดความอิ่มใจ (สาธกะปิตตะ) ทำให้ดวงตา และความเห็นแจ่มใส (อาโลจกะปิตตะ) ทำให้หนังงอกงามและผิวพรรณดี (ภราชกะปิตตะ)
1
ปิตตะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดอาหารบำรุงร่างกาย ตับ เป็นที่ตั้งสำคัญของปิตตะ ม้าม ก็เป็นส่วนของปิตตะ เป็นตำแหน่งของ รนชกะปิตตะ มีหน้าที่ควบคุมในการเกิดและการทำลาย เม็ดเลือดแดง
เยื่อชั้นในลูกตา ต่อมภายในร่างกาย และอารมณ์ต่างๆก็เกี่ยวกับปิตตะ
หมอโบราณที่รักษาคนเป็นโรคฟางไก่ หรือโรคราตรีอนธะ หรือโรคตาฟางกลางคืน (Night blindness) ด้วยการให้กินตับสัตว์ ก็เพื่อให้ดวงตาได้รับปิตตะ มีวิตามิน เอ. ตรงกับปัจจุบัน ที่ให้กินตับและทำน้ำมันตับปลาต่างๆนั้น
ตัวที่สามวาตะ (วายุ วาโย ลม)
ชื่อและตำแหน่งที่ตั้งแห่งลม ๕ ตำแหน่ง ส่วนนี้เป็นพลังชีวิตขับเคลื่อนในกาย หรือเรียกลมปราณก็ได้ในแผนนวดหัตบำบัด
- ปราณะ ตั้งที่หัว คอ อก
- อุทานะ ตั้งที่อก คอ ท้องส่วนบน
- สมานะ ตั้งที่ท้องส่วนสะดือ กลางท้อง
- วยานะ ตั้งที่หัวใจ และร่างกายทั่วไป
- อปานะ ตั้งที่อุ้งเชิงกราน และส่วนล่างลงไป
คุณภาพหรือลักษณะของ วาตะ
(๑) รุกษา (แห้ง) (๒) ลหุ (เบา) (๓) ศีตะ (เย็น) (๔) ขระห (ขรุขระ) (๕) สุกษมะ (แลไม่เห็น) (๖) จละ หรือ จลนะ (เคลื่อนไหว)
วาตะ มีรสฝาด และอรุณ (สีแดง)
วาตะ เรียก วายุ หรือ วาโย ก็ได้ เป็น ทรวยะ สำคัญที่สุดของตรีธาตุ
เป็นเหตุให้เกิด ให้ดลใจ
เป็นแหล่งกำเนิดของกำลัง การเคลื่อนไหว และกรรมต่างๆ การพูดจา
การเดินของเลือดในร่างกาย การชำระภายในระบบของร่างกาย ควบคุมกรรมของอวัยวะและกล้ามเนื้อ
ควบคุม มโน และ จิต (กริยาศักดิ์) ความรู้สึก ความเข้าใจ
นำความรู้สึกอย่างถูกต้องของอินทรียะ คือ เสียง (ศัพทะ) สัมผัส (สปรสะ) รูป (รูปะ) รส (รสะ) และ กลิ่น (คันธะ)
ควบคุมระบบของร่างกายให้ดำเนินเกี่ยวข้องกันด้วยดี ช่วยประสานเนื้อหนังอวัยวะที่ชำรุดเสียหาย
วายุ หรือ วาตะ ในทางโบราณมีความหมายเท่ากับระบบประสาท แต่มีนัยสูงกว่าระบบประสาทของปัจจุบัน
เด็กที่เริ่มแต่ปฏิสนธิในครรภ์เจริญขึ้นโดยอิทธิพลของวาโย วาโย คุมอวัยวะร่างกายทุกส่วน ตั้งแต่ปรมาณู หรือ เซลล์ ขึ้นไปจนกระทั่งร่างกายทั้งหมด ตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งตาย
วายุเป็นกำลังของชีวิต เคลื่อนไหวอยู่เสมอ สัญจลนะ จิตบังคับประสาท แต่วาโยบังคับจิตสูงขึ้นไปอีก
วาตะ บังคับร่างกายทั่วไป ทางระบบประสาท (วาตะ ยนตระ ประนาลิ) เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งกลไก หรือเครื่องจักรของร่างกาย (ตนตระ ยนตระ ธาระ)
วาตะ หรือ วายุ หรือ วาโย จึงไม่ใช่ลมอย่างที่เข้าใจกันอย่างธรรมดาสามัญ วาโยที่แล่นบังคับอยู่ในร่างกาย เราไม่รู้สึก
หรือพิสูจน์ง่ายๆ อย่างลมพัดในเวหาหรือในห้อง ที่หมอโบราณเรียก วาตะ หรือ วายุ หรือ วาโย มาจาก คำว่า วา แปลว่า เคลื่อนไหว คำสามัญแปลว่า ลม คือ เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหว หมอโบราณเอาคำนี้มาใช้ในร่างกาย ว่า วาโย หรือ วายุ
1
วาตะ มีความหมายสูงกว่าลมธรรมดา ความเข้าใจในเรื่องวาตะในร่างกาย ต้องอาศัยความรู้สึกเข้าใจอย่างลึกซึ้งเป็นความเข้าใจของ ตุรียจิต คือ จิตชั้นสูง (Super Concious State)
1
วายุ หรือ วาตะ นี้ ถ้าเราจะเปรียบกับลมในเวหาภายนอกร่างกาย ก็จะเห็นความสำคัญอยู่มากเหมือนกัน ว่าลมในเวหาก็มีอำนาจอย่างยิ่ง คือ การเคลื่อนหมุนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวทั้งหลาย เป็นไปโดยอำนาจของลม
และโลกเราที่หมุนหรือไหว ก็ด้วยอำนาจของลม ลมมีส่วนทำให้เกิดทองคำและแร่ธาตุต่างๆในท้องโลก วาโยในโลก จึงไม่เพียงเป็นเวหาหรือบรรยากาศ (Atmosphere) แต่เป็นกำลังอันยิ่งใหญ่ (Almighty Power)
วาโยในร่างกาย ก็มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ในร่างกายเช่นนั้น เราแลไม่เห็นลมในเวหาฉันใด ก็ไม่เห็นวาตะในร่างกายฉันนั้น แต่รู้ได้ด้วยอาการและด้วยความเข้าใจของจิตชั้นสูง
วาโย ไม่ใช่ลมอย่างลมในเวหา แต่เป็นลมอันละเอียดอย่างยิ่งในร่างกาย
วาโย ไม่ใช่ประสาท แต่เป็นกำลังของประสาท หรือลมประสาท (Nervous impulse) ที่ไหลอยู่ในสมอง เส้นประสาทและอวัยวะทั้งหลาย
ลมเราไม่เห็น แต่รู้อาการแสดงของลม อาการอย่างนี้โบราณเรียกว่า อวยกะตวยะ กรรมาจะ คือ รู้แต่กรรมของมัน
ส่วนตัวมันไม่เห็น อุปมาอย่างเอ๊กสเรย์ เราไม่เห็น แต่รู้ว่ามี และลมประสาท (Nerve impulse) เราไม่เห็น แต่ก็รู้ว่ามี กระนั้น
ข้อมูล อายุรเวทศึกษา ภาพจากกูเกิล
โฆษณา