8 พ.ค. 2020 เวลา 08:22 • ธุรกิจ
จุดเปลี่ยนธุรกิจกาแฟเทรนด์ดื่มแบบ Homebrew โต
ปรากฎการณ์การระบาดของ COVID -19 ทำให้พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงการบริโภคกาแฟจากที่ร้าน ไปเป็นการ Take away หรือการชงกาแฟดื่มที่บ้านแทน ภาพของคนคลาคล่ำ ดื่มด่ำกลิ่นกาแฟ ชมบาริสต้า นั่งทำงานลักษณะ Co-workingspace ทำได้ยากชึ้น และหลังจากวิกฤตินี้ไม่แน่ว่าร้านกาแฟจะกลับมาเช่นเดิมหรือไม่
ก่อนหน้านี้ แนวโน้มวัฒนธรรมการบริโภค Specialty Coffee ของประเทศไทยโตขึ้น ถือว่าเติบโตได้เร็วมากเช่นกัน การปฎิบัติ Social distancing ทำให้ร้านรวงกาแฟซบเซาทันตาในช่วงที่ผ่านมา
สถานะของร้านกาแฟที่เคยเป็น Third place หรือ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรือพื้นที่เติมความสุข ต่อจากบ้านและที่ทำงาน กระเทือนแน่นอน
ยักษ์ใหญ่สตาร์บัคก็ประกาศจุดยืนชัดเจนหลังจากนี้ 1.) ขายผ่านทาง โมบาย แอพของสตาร์บัคเอง 2.) ขายแบบ Drive thru 3.) ลดจำนวนเก้าอี้ในร้านลงเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างโต๊ะลูกค้า 4.) งดใช้แก้วส่วนตัว 5.) ส่วนการบริหารภายในยกระดับ ระบบการทำความสะอาดภายในร้าน พนักงานต้องล้างมือ และฆ่าเชื้อบริเวณพื้นผิวที่มีการสัมผัสทุกๆครึ่งชั่วโมง มากไปกว่านั้นพนักงานต้องสวมถุงมือและใส่หน้ากากอนามัย
เรียกว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับบาริสต้า ก็คงต้องห่างกันสักพัก รวมถึงร้านอื่น ๆ ด้วย
อนุมานว่าการบริโภคกาแฟทั้งโลกยังลดลงไม่มากอาจจะเพราะคนติดกาแฟกันงอมแงมแล้ว แต่พฤติกรรมการดื่มอาจจะต้องถึงจุดเปลี่ยนทั้งกระบวน Customer Journey เปลี่ยน คนทำธุรกิจต้องมานั่งวาด Canvas ธุรกิจกาแฟกันใหม่แบบสวนทางเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์ว่าการบริโภคกาแฟทั่วโลกจะลดลง แต่ Supply ในโลกกลับสวนทาง บราซิล ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่สุดของโลกจะผลิตกาแฟได้ 67 ล้านถุงขนาด 60 กิโลกรมในปีนี้จนถึงเดือนกันยายนปี2564 มากกว่าที่เคยผลิตได้ในปี 2562 ในปริมาณ 64.8 ล้านถุง แต่ผลผลิตอาจลดลงเพราะตัวเลขการติด COVID ในบราซิลเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลโดยตรง ส่วนเวียดนาม ผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก คาดว่าจะผลิตเมล็ดกาแฟได้ในปริมาณมากเช่นกัน
1
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันการบริโภคกาแฟของโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ความต้องการบริโภคกาแฟอยู่ที่ 9.83 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 และปี 2561 เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกาแฟไทยที่เติบโตไปในทิศทางเดียวกับกาแฟโลก โดยในช่วงปี 2558–2562 ปริมาณความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปในไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.21 ต่อปี หรือเฉลี่ยที่ 78,953 ตันต่อปี
ขณะที่ไทยสามารถผลิตเมล็ดกาแฟดิบได้เฉลี่ย 26,161 ตันต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ จึงยังต้องนำเข้าวัตถุดิบเพื่อแปรรูปบริโภคในประเทศและส่งออก ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไทยนำเข้ากาแฟจากอาเซียน อาทิ เวียดนาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศอินโดนีเซีย โดยเก็บภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบที่ร้อยละ 5 และยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับเมล็ดกาแฟคั่ว
รวมถึงตัวเลขการนำเข้ากาแฟจะเพิ่มลิสจากออสเตรเลียเพิ่ม เพราะไทยและออสเตรเลียได้ยกเลิกการภาษีศุลกากรสินค้ากาแฟและผลิตภัณฑ์กาแฟระหว่างกันแล้ว ภายใต้ความตกลงไทย–ออสเตรเลีย โดยการยกเลิกภาษีของไทยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563
หากแตกอัตราการบริโภคกาแฟสดของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 1.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (ประมาณ 300 แก้ว) เป็นอัตราที่ต่ำกว่าคนในยุโรปซึ่งมีอัตราการบริโภคอยู่ที่ประมาณ 4-5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (ประมาณ 600 แก้ว) ขณะที่คนในประเทศญี่ปุ่นมีการบริโภคกาแฟอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (ประมาณ 400 แก้ว) และญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่บริโภคเมล็ดกาแฟรายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก ด้วยปริมาณการบริโภค 8.1 ล้านถุงขนาด 60 กิโลกรับ ในปีนี้นับจนถึงเดือนกันยายน ปี2563
ข้อมูลของ Euromonitor ระบุว่าประเทศในอาเซียนที่ติด 50 อันดับแรกของโลก ที่มีการบริโภคกาแฟมากที่สุด เฉลี่ย 300 แก้ว/คน/ปี โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 41 สิงคโปร์ อันดับที่ 36 มาเลเซีย อันดับที่ 45 และฟิลิปปินส์ติดอยู่ที่อันดับ 49
มีการประเมินเฉพาะตลาดกาแฟในประเทศไทยปี 2562 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 3.7-3.8 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าปี 2563 มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นในระดับ 5-8% หรือ 4 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มกาแฟคั่วบดคือกลุ่มที่คาดว่าจะมีอัตราเติบโตดีกว่ากาแฟสำเร็จรูปและกาแฟพร้อมดื่ม
ในทางกลับกันแม้การผลิตเมล็ดกาแฟดิบของไทยจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ แต่หากเป็นการผลิตกาแฟสำเร็จรูปพบว่าในช่วงปี 2559–2562 ไทยส่งออกกาแฟสำเร็จรูปเฉลี่ย 29,876 ตันต่อปี มูลค่า 3,560 ล้านบาท โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และจีน
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ส่งออกกาแฟสำเร็จรูปของโลก โดยในปี 2561 ส่งออกไปโลก 28,473 ตัน เป็นอันดับที่ 10 ของโลก เพราะไทยได้เปรียบในเรื่องต้นทุนตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี
สอดคล้องกับที่คณะกรรมการพืชกาแฟได้มีการอนุญาตให้บริษัทแปรรูปกาแฟรายใหญ่นำเข้าเมล็ดกาแฟจากต่างประเทศลอตแรกในเดือนเมษายน 2563 แล้ว ประมาณ 30,000 ตัน จากที่ปี 2562 ได้กำหนดนโยบายให้มีการนำเข้ากาแฟในเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน แทนจากการนำเข้าในเดือนเมษายน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ปลูกกาแฟ และให้ผลผลิตภายในประเทศเก็บเกี่ยวและจำหน่ายแล้วเสร็จก่อน ในปีนี้มี บริษัทกาแฟรายใหญ่ที่ขอนำเข้าเป็นประจำทุก ๆ ปีมีประมาณ 8-10 บริษัท เช่น บริษัทเนสท์เล่ , บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ผู้ผลิตกาแฟเบอร์ดี้, บริษัท ยาคอบส์ ผู้ผลิตกาแฟมอคโคน่า, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด ฯลฯ ที่มีแบรนด์กาแฟในเครือครอบคลุมทุก Sectors อาทิ ออลล์ คาเฟ่, ออลล์ คาเฟ่ โกลด์, มวลชน, เบลลินี่, อาราบิเทีย และจังเกิ้ลคาเฟ่ เป็นต้น
1
ขณะบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านกาแฟภายใต้แบรนด์ “Café Amazon” ปี 2563 เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีก 400-450 สาขา ทั้งภายในประะเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะมีสาขารวมทั้งหมดประมาณ 3,200 สาขา
หากประเมินสถานการณ์ธุรกิจกาแฟในไทยในปี 2563 ต่อถึง 2564 แล้วถือว่าได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID ในระดับภาพรวมที่กระทบในเรื่องปริมาณของสินค้าในตลาดที่มีผลต่อกลไกของราคา ส่วนนี้ถือว่าจะส่งผลตรงต่อภาคการเกษตรภาคการผลิตต้นน้ำที่มีปัญหาอยู่ที่ไทยจะต้องสร้างอัตลักษณ์ของกาแฟที่มีมูลค่าสูง Premium สิ่งที่ตามมาคือต้นทุนแปรผันต่อร้านกาแฟ ตามวิถีชีวิตใหม่ในการรักษาระยะห่างทางสังคม ยอดขายที่ตกลง พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปคือกลยุทธ์ที่ส่วน Supply Chain กลางน้ำ และปลายน้ำต้องปรับตัวโดยเฉพาะแนวโน้มของการบริโภคแบบ Homebrew หรือการชงเอง ดื่มเอง เป็นบาริสต้าเอง การปรับตัวของยักษ์เครือข่ายกาแฟทั้งค่ารูปแบบสินค้าและวิธีการบริหารจัดการ กระบวนการตลาด รวมถึงผลิตภัณฑ์กาแฟต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน
อ้างอิง :
โฆษณา