9 พ.ค. 2020 เวลา 08:01 • ข่าว
Oil update : แท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดใช้งานของสหรัฐฯ ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่บริษัท Shale Oil หลายแห่งล้มละลายอย่างถาวร
ตัวเลขการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดตลอดกาล เนื่องจากได้รับผลกระทบการจากระบาดของ Coronavirus และสงครามราคาน้ำมัน
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบบางส่วนถูกยกเลิก และบ่อน้ำมันก็ถูกบีบบังคับให้ต้องปิดตัวลง ซึ่งหากดูภาพด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 สหรัฐฯ มีแท่นขุดเจาะที่เปิดใช้งานอยู่ถึง 988 แท่น แต่ปัจจุบันลดลงกว่า 62% เหลือเพียง 374 แท่น โดยในสัปดาห์นี้เพียงสัปดาห์เดียว มีแท่นขุดเจาะปิดตัวไปแล้ว 34 แท่น (น้ำมัน 33 แท่น และก๊าชธรรมชาติ 1 แท่น)
"นี่เป็นช่วงขาลงครั้งประวัติการณ์" Bill Thomas ผู้บริหารของ EOG Resources Inc. บริษัทสำรวจน้ำมันชั้นนำของโลกกล่าว
"อัตราการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ลดลงอย่างรุนแรง และจะใช้เวลาหลายปีกว่าที่การผลิตในประเทศจะกลับมาเป็นปกติ และแน่นอนว่าความเจริญรุ่งเรืองของ Shale Oil ในช่วงที่ผ่าน ๆ มาจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล"
Comment : พูดง่าย ๆ ก็คือต่อไปนี้อุตสาหกรรม Shale Oil ของสหรัฐฯ จะเสื่อมอำนาจลงอย่างถาวรในตลาด โดยอาจจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งก็เป็นอย่างที่ World Maker เคยวิเคราะห์ไปในช่วงตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาว่า ซาอุฯ และรัสเซียต้องการเช่นนี้อยู่แล้ว และก็ทำได้สำเร็จแล้ว
แน่นอนว่าวันนี้ตัวเลขทุกอย่าง ได้ออกมาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกแล้ว ผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่ออย่างเดียวแล้วแหละครับ
ตลาดน้ำมันดิบ WTI ในปัจจุบันปรับตัวขึ้นแล้วในระดับนึง โดยสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ WTI ในเดือน June 2020 อยู่ที่ 24.63 $/บาร์เรลในปัจจุบัน ขณะที่ความสมดุลระหว่าง Demand และ Supply เริ่มปรับตัวเข้าหากันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังห่างไกลจากจุดที่เรียกว่า "สมดุล" จริง ๆ
Baker Hughes ระบุว่าในปัจจุบัน กำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน หรือประมาณ 9.2% ขณะที่ The Permian Basin แท่นขุดเจาะ Shale Oil ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเหลือคนงานที่ยังทำงานอยู่เพียง 32 คนเท่านั้น
โดยภาพรวมแล้วนั้น ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2020 หรือวันนี้เอง ระดับการดำเนินงานทั้งหมดของแท่นขุดเจาะในสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 53% และคาดว่าจะกลายเป็น 63% ในปีถัดไป (2021)
ภาพด้านล่างนี้แสดงให้เห็นจำนวนแท่นขุดเจาะที่เปิดใช้งานใน The Permian Basin ซึ่งลดลงกว่า 50% จาก 400 กว่าแท่น เหลือเพียง 200 ต้น ๆ
มุมตอบคำถาม
หลายคนอาจยังสงสัยว่าทำไมรัสเซียและซาอุฯ ถึงต้องการโจมตีอุตสาหกรรม Shale Oil ของสหรัฐฯ ซึ่งวันนี้ World Maker จะมาอธิบาย รวมถึงวิเคราะห์ให้ได้เห็นภาพกันมากขึ้นนะครับ
ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนดูภาพด้านล่างนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นการส่งออกน้ำมันของประเทศมหาอำนาจด้านน้ำมัน 3 ประเทศคือ
(1.) ซาอุดิ อาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกในอดีตที่ผ่านมา
(2.) รัสเซีย ซึ่งครองอันดับ 2 ในด้านการส่งออกน้ำมันมาโดยตลอด
(3.) สหรัฐฯ ซึ่งก้าวขึ้นมาครองอำนาจต่อรองในตลาดได้จากผลผลิตและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอยางต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา
แน่นอนว่าการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของสหรัฐฯ นั้น ส่วนใหญ่ล้วนมาจากเทคโนโลยี Shale Oil ทั้งสิ้น โดยภาพด้านล่างนี้เป็นข้อมูลจาก EIA ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปริมาณการผลิตน้ำมันในภาคส่วนต่าง ๆ ของสหรัฐฯ
จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรม Shale Gas หรือ Shale Oil นั้นคิดเป็นกว่า 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในสหรัฐฯ เลยทีเดียว ซึ่งมันทำให้ผลผลิตทั้งหมดเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 57% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกเลยที่ซาอุฯ และรัสเซียจะร่วมมือกันเพื่อโค่นล่ม และลดอำนาจการต่อรองสำหรับเงินสกุลดอลลาร์ ในตลาดน้ำมันโลก ผ่านการล้มอุตสาหกรรม Shale Oil ของสหรัฐฯ อีกทีหนึ่ง
ซึ่งภาพทั้งหลายด้านบนนั้นแสดงให้เห็นแท่นขุดเจาะโดยรวมของสหรัฐฯ แต่เมื่อเราแยกมาดูการขุดเจาะแบบ Fracking * ซึ่งใช้กับอุตสาหกรรม Shale Oil โดยตรง พบว่าจำนวนแท่นขุดเจาะแบบ Fracking ลดลงจากกว่า 300 แท่น เหลือเพียงไม่ถึง 100 แท่นแล้ว ณ ปัจจุบันนี้
* Fracking คือการเจาะชั้นหินด้วยแรงดันน้ำ พูดง่าย ๆ คือ การขุดเจาะลงไปใต้ดิน จนไปถึงชั้นหิน แล้วอัดแรงดันน้ำเข้าไปเพื่อทำให้แก๊สที่อยู่ในชั้นหินระบายออกมา
ขณะที่บริษัท Shale Oil บางแห่งของสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาดำเนินงานได้ที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ประมาณ 30 $/บาร์เรล ดังนั้นก็เป็นที่จับตามองอย่างมากว่าในเบื้องต้น ราคาน้ำมันดิบ WTI จะถูกดันขึ้นไปจนถึง 30 $/บาร์เรลได้ก่อนที่บริษัทอื่น ๆ จะล้มละลายเพิ่มเติมได้หรือไม่ ?
Diamondback Energy Inc. หนึ่งในบริษัทผู้ผลิต Shale Oil ชั้นนำของสหรัฐฯ กล่าวว่า ในปัจจุบันบริษัทกำลังดำเนินการด้วยกำลังการผลิตเพียง 10-15% เท่านั้น และได้มีการส่งคนงานเกือบทั้งหมดกลับไปสู่บ้านของเขา (พักงาน)
สำหรับการคาดกาณ์จากผู้เชี่ยวชาญนั้น โดยรวม ๆ แล้วได้กล่าวว่า "50-80 % ของบริษัทน้ำมันเอกชนในสหรัฐฯ สามารถล้มละลายได้ หากราคาน้ำมันยังอยู่ที่ระดับปัจจุบัน (พูดง่าย ๆ คือต่ำกว่า 40 $/บาร์เรลนั่นเอง)
จับตาดู Movement ต่อไปของตลาดโลกให้ดีครับ เราจะเห็นเหตุการณ์สำคัญอีกเยอะหลังจบ COVID-19 แล้ว
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
โฆษณา