9 พ.ค. 2020 เวลา 13:39 • ธุรกิจ
'เงินเดือน 15,000' เก็บยังไงให้ได้ 'เงินล้าน' ?
1
ทำความรู้จักกันการลงทุนแบบ "DCA (dollar-cost averaging)" ทางเลือกลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนในระยะยาว ช่วยสร้างผลตอบแทน ที่เปลี่ยนเงินก้อนเล็ก ให้กลายเป็นเงินเก็บ "หลักล้าน"
2
บทความโดย ปณิดดา เกษมจันทโชติ I กรุงเทพธุรกิจ
1
'เงินเดือน 15,000' เก็บยังไงให้ได้ 'เงินล้าน' ? I กราฟิกโดย ณัฐนิช อิสรเสรีธรรม
ความพยายามเก็บเงินให้ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ดูเป็นเรื่องยากสำคัญสังคมทุนนิยม ที่มีค่าครองชีพสูง มีของล่อตาล่อใจเต็มไปหมด และมีดอกเบี้ยเงินฝากแสนต่ำ แต่ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากมีตัวช่วยให้ "เงินทำงาน" ไปพร้อมๆ กับเรา
"กรุงเทพธุรกิจ" พาไปดูทางเลือกสะสมเงินผ่านกองทุนรวม แบบ DCA (dollar-cost averaging) ที่จะช่วยให้การลงทุนด้วยเงินก้อนเล็กๆ ค่อยๆ เติบโต ออกดอกออกผลไปถึงหลักล้านได้แบบไม่ลำบากจนเกินไป และสามารถใช้เงินก้อนหนี้เป็นทุนสำหรับการดำเนินชีวิตในวัยหลังเกษียณได้แบบสบายๆ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ ที่มีเวลาในการสะสมเงินนานกว่า และมีโอกาสในการรับผลตอบแทนที่มากกว่าตามไปด้วย
"เงินน้อย" เริ่มต้นยังไงให้มี "เงินล้าน"
ตัวเลขเป้าหมายหลักล้าน ถือว่าเป็นตัวเลขที่เมื่อเทียบกับรายได้ 15,000 บาทต่อเดือนดูไม่ใช่เรื่องง่าย แถมในอนาคตในอีกหลายสิบปีข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1-3% ต่อปี (อ้างอิงตามเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของธนาคารแห่งประเทศไทย สำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี 63) เท่ากับว่าเงินจำนวนเท่าเดิมในตอนนี้ จะมีค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งหมายความว่าการออมเงินในบัญชีออมทรัพย์ หยอดกระปุก หรือฝากออมทรัพย์แบบธรรมดาไม่เพียงพอแล้ว
1
ปัญหายิ่งเก็บเงินยิ่งลดลงเป็นอุปสรรคที่ทุกคนต้องเจอในอนาคต แต่ยังไม่อีกหนทางหนึ่งที่เป็นทางเลือก ที่ช่วยให้ “เงินก้อนเล็กๆ” สามารถเติบโตใกล้เคียงหรือโตมากกว่าเงินเฟ้อในอนาคต
1
นั่นคือ "การลงทุนแบบ DCA ในกองทุนรวม"
สาเหตุที่หยิบยกการทำ DCA ในกองทุนขึ้นมาเป็นทางเลือก เนื่องจากเป็นลักษณะการลงทุนที่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินหลักร้อยและหลักพัน มีหลายระดับความเสี่ยงตั้งแต่น้อยจนถึงสูง ซึ่งสามารถเลือกความเสี่ยงที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้
กองทุนรวมคืออะไร?
การลงทุนในกองทุน คือการรวบรวมเงินทุนจากนักลงทุนทั่วไป เพื่อรวมเป็นเงินก้อนขนาดใหญ่ แล้วนำเงินที่รวบรวมนั้นไปกระจายลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ได้ตกลงเอาไว้ ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทจัดการกองทุนซึ่งมีหน้าที่ลงทุนแทนเราตามนโยบายของกองทุนที่เราเลือกตามความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถรับได้ ซึ่งกองทุนแต่ละกองจะได้ผลตอบแทนแตกต่างกันไปตามความเสี่ยง ประเภทกองทุน และสถานการณ์ตลาด โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตั้งแต่ 2-12% ต่อปี (ผลตอบแทนแต่ละปีจะแตกต่างกัน ตามประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน สภาวะตลาด และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง)
2
โดยจากการรวบรวมผลตอบแทนย้อนหลังที่เกิดขึ้นจริงของกองทุนประเภทต่างๆ ในการจัดอันดับ TOP FUND PERFORMANCE เว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์นายหน้า ซื้อขายหน่วยลงทุน WealthMagik พบว่า ผลตอบแทนในการลงทุนย้อนหลัง 10 ปี ของกองทุนที่มีความเสี่ยงต่างกันมีสถิติ ดังนี้
3
ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนตราสารทุน 207 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 5.69%-12.88%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนรวมผสม 68 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 3.31%-12.28%
1
ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง 56 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 1.92%-3.15%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนรวมตลาดเงิน 37 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 1.32%-1.74%
จากข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่า "การลงทุนระยะยาว" ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากกว่าการออมทรัพย์ธรรมดา อย่างไรก็ดีการลงทุนในกองทุนรวมมีทั้งข้อดีและความเสี่ยงที่ต้องระวัง และควรทำความเข้าใจก่อนลงทุน ดังนี้
ข้อดีของการลงทุนกองทุนรวม
1
มีมืออาชีพคอยบริหาร ช่วยจัดการกองทุนให้เป็นไปตามนโยบาย
กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน
มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย สามารถเลือกตามความเสี่ยงที่เหมาะกับตัวเองได้
มีสภาพคล่องสูง สามารถขายคืนหน่วยลงทุนเป็นเงินสดได้ง่าย
ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เฉพาะประเภท SSF และ RMF
1
ความเสี่ยงจากการลงทุนกองทุนรวม
ผู้ลงทุนขาดความรู้เรื่องการลงทุน ทำให้การลงทุนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้
ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน เนื่องจากมีปัจจัยจากสภาวะตลาด ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเงินของประเทศ อารมณ์ของนักลงทุนในตลาดต่างประเทศ ฯลฯ
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เป็นความเสี่ยงต้องคำนึงถึงเมื่อลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ หรือกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ
การขาดสภาพคล่องในการซื้อขาย สำหรับกองทุนที่มีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาในการถือครอง
อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ผลตอบแทนกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ ฯลฯ อาจน้อยกว่าราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
การลงทุนแบบ DCA พิเศษอย่างไร
3
DCA (dollar-cost averaging) คือการตั้งระบบลงทุนแบบอัตโนมัติ เป็นงวดๆ งวดละเท่าๆ กัน ทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ถ้าราคาหุ้นปรับตัวต่ำลงจะซื้อหน่วยลงทุนได้มากขึ้น และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจะซื้อหน่วยลงทุนได้น้อยลง ซึ่งการซื้อต่อไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ จะช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนหน่วยลงทุนที่เราซื้อให้เท่าๆ กัน ทำให้ไม่ต้องมาคอยเฝ้าราคาขึ้นๆ ลงๆ ของกองทุน แถมมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหาร ทำให้ไม่ต้องมานั่งเฝ้าตลาดหุ้นด้วยตัวเอง
สาเหตุที่หยิบยกวิธีนี้ขึ้นมา เพราะข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรากฏสถิติที่น่าสนใจว่า การลงทุนระยะยาวด้วยวิธีการแบบ DCA ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการลงทุนแบบจับจังหวะ หรือเก็งกำไร แถมสามารถเริ่มต้นได้จากเงินจำนวนน้อยๆ ด้วย (ตามนโยบายแต่ละกองทุน)
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนแบบ DCA
1
- ช่วยตัดอารมณ์ความรู้สึกในการตัดสินใจลงทุนออกไป
- ลดความเครียด
- ไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่
- ทำให้มีวินัยในการลงทุน ไม่หลงไปกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้น ๆ
ข้อด้อยของการลงทุนในกองทุนแบบ DCA
- มีความเสี่ยงตามประเภทของกองทุน
- ใช้ระยะเวลาการลงทุนยาว
สาเหตุที่วิธีลงทุนแบบ “DCA ในกองทุน” เติบโตขึ้นจนไปถึงเป้าหมายได้ คือพลังแฝงที่เรียกว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยในแต่ละปีในระยะยาว รวมกับเงินต้นที่มีอยู่เดิมกลายเป็นเงินต้นก้อนใหม่ และเมื่อเวลาผ่านไป เงินต้นก้อนใหม่จะถูกพอกด้วยดอกเบี้ยที่ได้รับของปีถัดไปเรื่อยๆ ทำให้ผลลัพธ์ในตอนท้ายกลายเป็นก้อนใหญ่หลักหลายล้านได้
1
ทว่า กฎเหล็กของการเก็บเงินแบบ DCA คือ “วินัย” ที่ต้องลงทุนสม่ำเสมอ และ “ความอดทน” ที่จะต้องทำต่อเนื่องเป็นระยะเวลาร่วม 10 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นอุปสรรคโหดหินที่ทำให้หลายคนที่แม้จะคำนวณเก่ง วางแผนดี แต่พอถึงเวลาลงมือทำ ก็อาจจะถอนตัวตั้งแต่ยังไม่พ้นปีแรก!
1
สังเกตได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นจำนวนเท่ากัน ยิ่งมีจำนวนปีในการลงทุนนาน การลงทุนที่ใช้ระยะยาวนานกว่าจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก ซึ่งเป็นข้อยืนยันประโยคที่ว่า “ออมก่อน รวยกว่า”
2
สำหรับคนที่พยายามลองเก็บเงินแล้วยังไม่สามารถทำได้ ลองใช้วิธี "เงินที่ไม่เห็น คือเงินที่ไม่ได้ใช้" นั่นคือการหักเงินส่วนที่ต้องการเก็บหรือเงินที่จะลงทุนทันทีที่เงินเดือนออก หรือทันทีที่ได้รับรายได้
3
โดยเริ่มจาก "เงินเดือน - เงินเก็บ = เงินสำหรับใช้จ่าย"
ความเป็นจริงแล้ว วิธีการลงทุนสม่ำเสมอแบบนี้สามารถทำได้ทั้งคนที่มีเงินเดือนน้อยกว่าหรือมากกว่า 15,000 บาท รวมไปถึงคนที่ไม่ได้มีรายได้ประจำก็สามารถหักรายได้ในแต่ละเดือนสม่ำเสมอไว้ลงทุนในลักษณะนี้ได้เช่นกัน
1
โฆษณา