เงินของประเทศ ที่ครองโลก
จะเป็นเงินสกุลหลักของโลก (1)
ในขณะ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ และพรรคพวก มัวแต่ทำสงครามน้ำลาย
โจมตีจีนว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ ติดเชื้อโควิด-19 จนย่ำแย่ขนาดนี้
มิหนำซ้ำยังข่มขู่ว่าจีน ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้
จนถึงขั้นจะชักดาบ เบี้ยวหนี้พันธบัตรรัฐบาล ที่จีนถือครองอยู่กว่า 36 ล้านล้านบาท
ซึ่งเรื่องนี้ นักวิเคราะห์บอกว่าเทียบเท่า การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ เลยทีเดียว หากสหรัฐฯ Default หรือไม่จ่ายหนี้
โดยทางสหรัฐฯ เอง คงไม่คิดที่จะเบี้ยวหนี้แบบนี้ เสียเครดิตแย่
แต่ฝั่งจีนนำโดย สีจิ้นผิง ยังเดินเกมเศรษฐกิจตามแผนระยะยาวต่อไป
โดยล่าสุดที่ทั่วโลกต้องติดตาม ก็คือ การประกาศทดลองใช้เงินดิจิตอลหยวน หรือ Digital Currency Electronic Payment (DCEP)
เริ่มทดลองใช้ในประเทศก่อน หลังจากนั้นประเทศที่ค้าขายกับจีน คงได้มีการใช้งานตามมา
ซึ่งอดีตที่ผ่านมาก็บอกเราว่า ประเทศมหาอำนาจที่ยึดครองโลกในอดีต
มีการติดต่อค้าขายไปทั่วโลก
และทำให้สกุลเงินของประเทศมหาอำนาจนั้น กลายเป็นสกุลเงินหลักของโลก โดยปริยาย
บทความนี้เราลองย้อนอดีต ไปดูประวัติของเงินสกุลหลักโลก กัน
หากพร้อมแล้ว เราไปติดตามกันเลย
All roads lead to Rome: ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม
Cr. Newsweek
Roman Empire หรือ จักรวรรดิโรมัน ถือเป็นหนึ่งในอารยธรรมยุคโบราณที่ขยายดินแดนกว้างใหญ่ที่สุด
ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด มีพื้นที่กินอาณาเขต ครอบคลุมแอฟริกา เหนือ ไปจนถึง สเปน และเกาะบริเตน (อังกฤษ)
เกษตรกรรม และการค้าขาย ช่วยส่งเสริมให้จักรวรรดิรุ่งเรือง โดยมีสินค้าหลักที่ค้าขายกันได้แก่ ข้าว งาช้าง ผ้าไหม เครื่องเทศ ทองคำ และเงิน โดยมีการดูแลความปลอดภัยของขบวนค้าขาย โดยทหารโรมัน
เงินสกุลหลักของโรม ก็คือ Aureus และ Denarius ถูกนำมาใช้ทั่วจักรวรรดิ ซึ่งทำให้การค้าขายระหว่างพ่อค้า ทำได้ “ง่าย” มากขึ้น ไม่ต้องแลกเป็นเงินสกุลของตัวเองกลับไปกลับมา
ซึ่ง Aureus ก็คือ เหรียญที่ทำมาจากทองแท้ๆ โดย Aureus มีรากศัพท์มาจาก Aurum ในภาษาละตินที่แปลว่า “ทอง” เป็นเหรียญโรมันโบราณ เริ่มใช้ตั้งแต่ 100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
Aureus
ต่อมาไม่นาน ในยุคของ จูเลียส ซีซ่าร์ เงิน Aureus ได้มีการใช้อย่างแพร่หลาย และซีซ่าร์ ยังได้กำหนดมาตรฐานน้ำหนักเหรียญทอง Aureus โดย 1 เหรียญหนักประมาณ 8 กรัม
Aureus ถือเป็นเงินสกุลหลักของโลก (ในยุคนั้น) ไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 ก่อนถูกแทนที่ด้วยสกุลเงิน Solidus ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ของชาวกรีกโบราณ (บางทีถูกเรียกว่า จักรวรรดิโรมันตะวันออก)
โดยอย่างที่เราทราบดีว่า เรื่องเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน การเมือง การทหาร มันเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันหมด
จักรวรรดิโรมัน ล่มสลาย ในช่วงประมาณ ค.ศ. 450 ส่วนหนึ่งมาจากถูกชนเผ่านอกอาณาจักรรุกรานก็จริง
แต่จริงๆ แล้วปัญหามันสะสมมาหลายร้อยปีก่อนหน้านั้น...
ไล่มาตั้งแต่ โรคระบาดอันโทนีน หรืออีกชื่อหนึ่งว่า the Plague of Galen ในช่วง ปี ค.ศ.165-180 เป็นโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษที่ระบาดในอาณาจักรโรมัน โดยทำให้มีผู้เสียชีวิต ในกรุงโรม ถึงวันละ 2,000 คน รวมยอดผู้เสียชีวิต 5 ล้านคน และราคาข้าวของแพงขึ้น
the Plague of Galen Cr. TrueID
ในช่วงปี ค.ศ. 200-300 ถือเป็นช่วงวิกฤตของจักรวรรดิโรมัน เมื่อผู้นำคือต้นเหตุของปัญหา
จักรพรรดิแซ็ปติมิอุส แซเวรุส กล่าวสั่งเสียกับโอรสทั้งสองคน คือ คาราคัลลา และเกตา ว่า
“ให้อยู่อย่างสันติ, เสริมความแข็งแกร่งทางทหาร, และอย่าไปสนใจคนอื่น”
หลังจาก แซ็ปติมิอุส สิ้นพระชนม์ ในปี ค.ศ. 211 คาราคัลลา ก็จัดการฆ่าพี่ชายทิ้งซะเลยอย่างเลือดเย็น (นี่มันอยู่อย่างสันติตรงไหน??)
แต่ก็ยังเชื่อพ่อนะ คือ การเพิ่มเงินเดือนให้ทหาร 50% แล้วก็ชดเชยโดยการเก็บภาษีมรดกชาวโรมันเพิ่มมันเท่าตัวซะเลย
เมื่อเงินเริ่มตึงมือ ทาง คาราคัลลา ก็เลยจัดการ “พิมพ์แบงก์เพิ่ม” เอ้ย ไม่ใช่ คือ ช่วงนั้นยังใช้เหรียญเงิน (Denarius) และเหรียญทอง (Aureus) เป็นหลัก
ก็เลย ลดปริมาณโลหะ “เงิน” ที่ผสมในเหรียญเงิน Denarius ลงไป จะได้มีเหรียญเงินใช้ซื้อของเยอะๆ ขึ้นไง
Denarius Cr. Wiki
แต่ก็คาดเดาไม่ยาก คาราคัลลา ถูกลอบสังหารปี ค.ศ.217 หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนยุคสามก๊ก สมบัติผลัดกันชม เหล่าขุนศึกต่างทำสงครามกลางเมือง แย่งชิงอำนาจกันไปมา...
หากเทียบ ปริมาณสัดส่วนเงิน ในเหรียญเงิน Denarius
ค.ศ.14 (ยุค ออกัสตัส ซีซ่าร์) เงิน 95%
ค.ศ.174 (ยุค ทราจัน) เงิน 85%
ค.ศ.211 (ยุค คาราคัลลา) เงิน 50%
ค.ศ.268 (ยุค เกลาดิอุส) เงิน 0.5% เท่านั้น
(แถวบ้านเรียก ไม่มีเงิน...)
เหรียญทอง Aureus ก็โดนลดมูลค่าในลักษณะเดียวกัน (ใช้ทองให้น้อยลง)
ทุกๆ ครั้งที่มีการขึ้นเงินเดือนทหาร จะพบว่าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามทันที เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
จักรวรรดิโรมัน อ่อนแอลงเรื่อยๆ มีการแบ่งแยกการปกครองออกเป็นตะวันออกและตะวันตก โดยยังมีจักรพรรดิองค์เดียวกันอยู่
ในปี ค.ศ. 300 จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชตั้งเมืองไบแซนติอุม (Byzantium) เป็นเมืองหลวงใหม่แทนที่โรม แต่ผู้คนมักจะเรียกว่า เมืองหลวงใหม่ว่ากรุง “คอนสแตนติโนเปิล” (Constantinople)
Constantinople Cr. Istanbul Clues
จนมาถึง ปี ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชตัดสินใจ กดปุ่ม Reset ของเดิม และประกาศใช้เหรียญทองใหม่แทน “Aureus” โดยสกุลเงินใหม่ก็คือ “Solidus”
สงคราม ยังดำเนินต่อเนื่อง คราวนี้ มีชนเผ่าฮั่น (Huns) ที่บุกตีชนเผ่าเยอรมัน จนชนเผ่าเยอรมันต้องหนีมาบุกยึดกรุงโรมแทน
ทำให้สุดท้าย พระเจ้าธีโอโดซิอุส (ค.ศ.375) ตัดสินใจ ตัดเนื้อร้ายทิ้งอาณาจักรโรมันฝั่งตะวันตก กรุงโรมล่มสลาย...
โดยจักรวรรดิโรมันฝั่งตะวันออก ยังยืนหยัดอยู่ได้ และกลายเป็น จักรวรรดิไบแซนไทน์ ในเวลาต่อมา
การเจริญเติบโตของการค้าตามเส้นทางสายไหม (Silk road) สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับ จักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยเงิน Solidus ถือเป็นสกุลเงินที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนซื้อขายในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 6
Solidus
จักรวรรดิไบแซนไทน์ ล่มสลายช่วงปี ค.ศ. 1453 หลังจากที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกยึดโดยชาวออตโตมันเติร์ก
กรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอิสตันบูลมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากกรุงโรม ล่มสลาย ยุโรปก็เข้าสู่ยุคมืดนับพันปี จนมาถึงยุค Renaissance ที่ยุโรปเริ่มกลับมาเบ่งบาน...
ต่อตอนที่ 2 กับเงิน Fiorino
ที่มา: Bloomberg
👫 พิเศษสุด! "นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า Marketplace"
สำหรับเพื่อนๆ นำเข้า ส่งออก เชิญค้าขายกันได้เลย
❤️ ช่วย SMEs ก้าวไกลไปทั่วโลก
👫 ร่วมกลุ่มผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก
- 221
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
