Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อยากเป็น Trader
•
ติดตาม
10 พ.ค. 2020 เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ก่อนอื่นคุณต้องรู้ตัวก่อนว่า สิ่งที่คุณเอาเงินไปลงทุนนั้นเป็นการลงทุนรูปแบบไหน หวังผลตอบแทนจากอะไร และเหนือกว่าสิ่งอื่นใด คุณต้องศึกษาให้ดีว่าเงินที่ออกไปจากตัวคุณ มันไปซื้อAssetนั้นจริงๆ อย่าให้โดนหลอกง่ายๆนะครับ เลือกโบรกเกอร์หรือตัวกลางการซื้อขายที่น่าเชื่อถือและถูกต้องตามกฎหมายไว้ก่อนดีที่สุด
รูปแบบการลงทุน ผมแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1. เก็งกำไร
2. ลงทุนในธุรกิจ
3. รูปแบบ1 และ2ผสมกัน
1. เก็งกำไร หวังผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (เป็นTrader)
เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดของเหล่านักลงทุนหน้าใหม่ เพราะโดนสื่อต่างๆบอกว่า นี่คือวิธีที่จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมหาศาล
Assetที่ถูกนำมาเก็งกำไรก็แทบจะเป็นทุกAssetเลยก็ว่าได้ แต่หลักๆก็ได้แก่ หุ้น, ตราสารอนุพันธ์, สินค้าโภคภัณฑ์(พวกทองคำ, น้ำมัน) และค่าเงินสกุลต่างๆ
หัวใจของการเก็งกำไรคือ การเล่นไปตามความผันผวนของราคา โดยที่ไม่ต้องสนปัจจัยพื้นฐานของAssetนั้นมากและมีจุดตัดขาดทุนที่สั้น
ระยะเวลาการถือตั้งแต่ 1วัน ถึง 1เดือน มักจะขายทำกำไรเมื่อราคาถึงจุดที่วิเคราะห์ไว้
คนที่เหมาะกับการเก็งกำไรคือคนที่ต้องมีเวลาติดตามราคาของAssetที่ถืออยู่พอสมควร และต้องควบคุมจิตใจให้ยอมรับการขาดทุนได้ ไม่ใช่พอใกล้จะโดนจุดตัดขาดทุนก็ไปเลื่อนมันออกเพราะกลัวที่จะขาดทุน แบบนี้ผิดวัตถุประสงค์ของการเก็งกำไร
คนที่เก็งกำไรจะไม่คาดหวังว่าจะทำกำไรได้ปีละกี่เปอร์เซ็นต์ เดือนละกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เขาจะเข้มงวดกับการรักษาเงินต้นและการตัดขาดทุนมากกว่า
บางคนอาจจะบอกว่าแล้วมันต่างกับการพนันยังไงในเมื่อไม่ได้ดูปัจจัยพื้นฐานแต่อิงกับความน่าจะเป็น? ในความเห็นของผม เราต้องดูก่อนว่าการพนันแบบไหนที่เอามาเทียบ ถ้าเอาหวยหรือล็อตเตอรี่มาเทียบก็ต้องบอกว่าโคตรต่างเลยครับ ล็อตเตอรี่มีความน่าจะเป็นหรือprobabilityที่จะถูกรางวัลน้อยมากๆ
ในขณะที่การเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคา เรายังมีเครื่องมือต่างๆมาช่วยวิเคราะห์และสามารถอ่านใจผู้เล่นอื่นๆในตลาดได้ จึงมีprobabilityในการทำกำไรมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงการพนันรูปแบบอื่นที่เราต้องใช้ทักษะการคำนวณ การอ่านใจผู้เล่นอื่น ก็อาจจะมีความคล้ายกับการเก็งกำไรครับ
2. ลงทุนในธุรกิจ หวังผลตอบแทนจากเงินปันผลหรือดอกเบี้ย (เป็นInvestor)
เป็นวิธีที่นิยมไม่แพ้กัน เพราะหลายคนที่ผิดหวังจากการเก็งกำไรหุ้นในวิธีที่1 ไม่ยอมตัดขาดทุนซักทีก็กลายเป็น "VI จำเป็น"กันหมด😂
ในความหมายของผม การลงทุนในธุรกิจตีความได้กว้างมาก ไม่จำกัดเฉพาะการลงทุนในหุ้นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง หุ้นกู้, กองทุนรวม, ตราสารหนี้, เงินฝากธนาคาร และอาจรวมไปถึงประกันชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลหรือดอกเบี้ย
หัวใจของการลงทุนในรูปแบบนี้ต้องดูที่ปัจจัยพื้นฐานของAssetนั้นเป็นหลัก อันได้แก่ ลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัท, ผลกำไรขาดทุน รวมไปถึงความสามารถของผู้บริหาร
ระยะเวลาการถือมากกว่า1ปีขึ้นไป
คนที่เหมาะกับการลงทุนในธุรกิจคือคนที่หวังผลตอบแทนระยะยาว โดยให้น้ำหนักไปที่เงินปันผลหรือดอกเบี้ย มากกว่าส่วนต่างของราคา และต้องเป็นคนที่ชอบอ่าน ชอบศึกษาหาความรู้อย่างเจาะลึกในAssetที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
คำถามคือ แล้วถ้ามูลค่าของAssetนั้นลดลงล่ะ ยังจะถืออยู่มั้ย?
คำตอบคือ ถ้าคุณเลือกที่จะลงทุนรูปแบบนี้แสดงว่าคุณอ่านและศึกษาปัจจัยพื้นฐานของมันมาดีแล้ว หากมูลค่ามันลดลงเนื่องจากความผันผวนของตลาด โดยปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขายทิ้ง
แต่หากมูลค่ามันลดลงเพราะปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ก็ควรตัดสินใจขายAssetนั้นออกไป
3. รูปแบบ1 และ2 ผสมกัน โดยหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (เป็นTrader)
เป็นวิธีที่นักเก็งกำไรระดับมืออาชีพใช้กัน Assetที่ถูกนำมาเก็งกำไรก็เหมือนกับรูปแบบที่1 แต่เพิ่มความซับซ้อนเข้ามาโดยนำเอาปัจจัยพื้นฐานของAssetนั้นมาร่วมวิเคราะห์ด้วย จุดตัดขาดทุนยังคงมี แต่การถือมักจะนานกว่า อาจเป็นเดือนหรือเป็นปีๆ เพราะต้องรอให้ปัจจัยพื้นฐานบางอย่างเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของราคาครั้งใหญ่ และมักจะขายทำกำไรเมื่อAssetนั้นถูกพูดถึงในหลายๆสื่อหรือเป็นข่าวเด่นขึ้นมา
คนที่เหมาะกับการลงทุนรูปแบบนี้คือคนที่ต้องทำงานหนักอย่างยิ่ง เพราะต้องค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ทุกปัจจัยรอบด้าน ช่างสังเกต และเมื่อเขามองเห็นโอกาสก่อนคนอื่น เขาก็จะมีต้นทุนAssetที่ถูกและสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น Bitcoin ที่ราคาวิ่งไปหลายหมื่นเปอร์เซ็นต์, ทองคำที่พุ่งอย่างรุนแรงในปีที่ผ่านมา หรือแม้แต่การShortหุ้น, Shortน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ (ทำกำไรจากขาลงของAsset)
การลงทุนทั้ง 3 รูปแบบนี้ คุณอาจใช้ทุกรูปแบบพร้อมๆกันก็ได้ เช่น มีเงิน 1 ล้าน แบ่งไปลงทุนรูปแบบที่2 จำนวน7แสน รูปแบบที่1 และ3 จำนวน3แสน เพื่อกระจายความเสี่ยง
แต่ที่สำคัญคือ คุณต้องแยกให้ออกจริงๆว่าAssetที่คุณลงทุนนั้นเป็นการลงทุนรูปแบบไหน
วิชาถัดไปคือ Trader102 เนื้อหาจะลงลึกเกี่ยวกับการลงทุนในรูปแบบที่1 โดยจะสอนการอ่านกราฟพื้นฐานและเทคนิคที่ผมใช้ในการทำกำไร
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ
อ.ป๊อก
Trader คนหนึ่ง
4 บันทึก
11
6
7
4
11
6
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย