10 พ.ค. 2020 เวลา 02:28 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของซูชิ
 
ซูชิเป็นอาหารหลากหลายที่พบได้ในปัจจุบันในประเทศไทย ในทุก สถานที่ทุกราคา แต่คุณรู้หรือไม่ว่าซูชิมีต้นกำเนิดมาจากอะไร เดี๋ยววันนี้ แอดมินเจ จะมาเล่าง่ายๆให้คุณฟัง
ในช่วง 3500ปี ก่อนคริสตศักราชนั้น ในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงนั้นได้กำ เนิดวิธีการหมักปลาเพื่อถนอมอาหารได้ สองวิธี 1. เอาปลาไปหมักกับเกลือ จนได้ที่ 2. นำข้าวที่ที่หุงสุกแล้วไปหมักกับปลาเช่นกัน เมื่อคุณผู้อ่านดูแล้ว สองวิธีนี่คุ้นๆใช่ไหมครับ นี่คือ จุดเริ่มต้นของซูชิที่มีส่วนคล้ายคลึงทำน้ำปลา ปลาหมักซูชิ ปลาส้ม ที่เป็นญาติพี่น้องกันแบบห่างๆ ทุกคนอาจจะงง ว่าเป็น ไปได้อย่างไร ขอให้อ่านต่อไปก่อนแล้วปริศนาจะค่อยๆคลี่คลายลงในท้ายที่สุดครับ การหมักหรือถนอมปลาจากลุ่มแม่น้ำโขงได้แผ่ขยายไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่ และได้ถูกส่งไปสู่ญี่ปุ่นในฐานะของขวัญแลกกับบรรณนาการที่ญี่ปุ่นมอบให้ ในช่วง ปีคริสตศักราช 700-1400 ซึ่งมี ชื่อเรียกว่า ฟุนะซูชิ น่าแปลกใจมากที่อาหารสุดประหลาดนี้จะเป็นต้อนแบบพัฒนาให้เกิดอาหารสุดมหัศจรรย์ในอนาคต
**เกร็ดเล็กน้อยการในช่วงนั้นประเทศราชต่างๆ ต้องส่งบรรณาการให้จีนในฐานะการแสดงความเคารพและจีนจะให้ของขวัญตอบแทนบรรณาการแก่ ประเทศราชนั้นๆ เพื่อแสดงถึงความโอบอ้อมอารีของประเทศพี่ใหญ่อย่างจีน เช่นกัน**
มาถึงช่วงปลายยุคคริสตศักราช 1400 ได้คิดค้นวิธีการหมักแบบใหม่ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการหมักได้จากหนึ่งเดือนเหลือไม่กี่วัน หรืออาจจะหนึ่งสัปดาห์ ทำให้เกิดการกินปลาหมักกับข้าวได้ ซึ่งได้ตั้งชื่อเรียกว่า นาเระซูชิแต่ยังคง เป็นเพียงแค่อาหารที่มีแต่ชนชั้นสูงในยุคนั้นเท่านั้นที่ยังคงสัมผัสได้
ในปีคริสตศักราช 1600 ได้เกิดสิ่งที่ปฏิวัติวงการซูชิขึ้นมาเลยกะว่าได้ นั่นคือ น้ำส้มสายชูหมัก ที่ผลิตได้จากสาเกขึ้นมา และได้นำมาใช้หมักซูชิ เพื่อให้เก็บได้นานขึ้น และเกิดรสเปรี้ยวอร่อยจากธรรมชาติ ตรงจุดนี้การกิน ปลาพร้อมกับข้าวซูชิหรือข้าวคลุกน้ำส้มสายชูหมัก ได้ถูกจัดเป็นมาตรฐานรูปแบบของซูชินั่นนเอง แต่น่าเสียดายที่ยุคนั้นซูชิยังคงเป็นที่นิยมอยู่แค่ใน เกียวโตและ โอซาก้า จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์การย้ายเมืองหลวงจากเกียว โต สู่ โตเกียว และการเพลิงไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ใน โตเกียว ก่อให้เกิดการกระจายของแรงงานออกไปตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ
การเกิดของซุ้มอาหารเนื่องจากแรงงานที่กระจายออกจากเมืองหลวง ไปยังหัวเมืองต่างๆนั้น ทำให้เกิดความต้องการร้านอาหารด้วยเช่นกัน ซุ้มอาหารจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับแรงงานทั้งหลายเหล่านี้ แต่การใช้ไฟเพื่อทำอาหารในช่วงนั้นผิดกฎหมายเนื่องจากการเกิดเพลิงไหม้ใน โตเกียว อาหารอะไรล่ะที่จะตอบสนองแรงงานผู้หิวโหยได้ ซูชิจึงได้รับความนิยมและถูกเผยแพร่ เพราะทำได้ง่ายและไม่ต้องใช้ไฟให้ผิดกฎหมาย แต่ซูชิในยุคนี้จะมีลักษณะคล้ายฟาสฟู้ด กล่าวคือมีวิธีการทำแบบ นาเระซูชิ ที่ใกล้เคียงกับเมื่อสองร้อยปีก่อน คือ หมักข้าวกับน้ำส้มสายชูและวางปลาไว้ข้างบนปิดฝาและเอาหินกดทับ จากนั้นจึงเอามาตัดเป็นแผ่นคล้ายขนมปังปอนด์แน่นอนว่าถึงจะเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดแต่กรรมวิธีไม่ได้ฟาสต์ตามไปด้วย
ในช่วงคริสตศักราช 1800 ได้เกิดการทำซูชิชนิดใหม่ขึ้น คือนิกิริซูชิ หรือ การปั้นซูชิด้วยมือทำให้ซูชิสามารถทำได้ง่ายขึ้นรวดเร็วขึ้นสามารถทำ ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะซุ้มอาหารหรือร้านอาหารรถเข็น และวิธีการทำนี้ยังได้แพร่กระจายออกไปนอกเอโดะอีกด้วย โดยนิกิริในยุคแรกนั้นมีขนาดใหญ่ไม่แพ้ข้าวปั้นกันเลยทีเดียวเพื่อให้แรงงานสามารอิ่มท้องได้ในราคาประหยัดนั่นเอง
** เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยซูชิแบบนิกิริที่ใช้ปลาจากเอโดะ(เกียวโต) นั้นจะมีชื่อ เรียกว่าเอโดะมาเอะ ซูชิ ซึ่งเป็นต้นแบบและรากฐานมาจนถึงซูชิปัจจุบัน**
ในปีคริสตศักราช 1923 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ในคันโตต่อเนื่องเหตุการณ์ไปจนถึง สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เชฟซูชินั้นได้อพยพไปตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ และได้นำความรู้ทางซูชิไปประยุกต์ให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นๆ โดยในช่วงแรกนั้นซูชิจะเป็นที่นิยมเฉพาะเครื่องแสง หรือจำพวกปลาเนื้อขาวเช่น ฮิราเมะ ฮามาจิ โคฮาดะ เป็นต้น แต่การการขาดแคลนอาหารในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อเมริกาได้บริจาคอาหารเข้ามา ทำให้ชาวญี่ปุ่นได้สัมผัสรสชาติ ความเข้มข้นของไขมัน ชีส และเนื้อแดงต่างๆ ดังจะเห็นได้ว่าอาหารดังเดิมโบราณของญี่ปุ่นจะไขมันน้อยและอุดมไปด้วยผักมากกว่า เหตุการณ์นี้เองจึงเป็นเหตุการณ์ที่พัฒนารสสัมผัสของชาวญี่ปุ่นให้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง จากที่ได้กล่าวมามาข้างต้นนั้นซูชิที่ทำจากทูน่าซึ่งมีไขมันสูงมากและอุดมด้วยรสอร่อย จึงได้ก้าวมาเป็นราชาแห่งซูชิจวบจนปัจจุบัน จากปลาทูน่าทเคยไร้ค่าแปรเปลี่ยนมามีค่าดั่งทอง
คริสตศักราช 1960 เป็นช่วงที่มีการเผยแพร่ซูชิไปทั่วโลกพร้อมกับการขยายตัวเศษฐกิจของญี่ปุ่น และได้เกิการคิดค้นการกินซูชิรูปแบบใหม่ครั้งแรกนากจากเกาะญี่ปุ่น นั่นคือ แคริฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งให้กำเนิดแคริฟอเนียโรล โดยใช้อโวคาโด แทนทูน่าเพื่อให้กินได้ง่ายเพราะชาวอเมริกันที่ในสมัยนั้นรู้สึกว่าทูน่าเป็นแค่อาหารกระป๋องที่ใช้ทำไส้แซนวิชหรืออาหารแมว และการกินของดิบๆเป็นเรื่องแปลก การที่พ่อครัวซูชิได้ใช้อโวคาโดมาทดแทนทำให้แคลิฟอเนียโรลได้รับความนิยมในอเมริกา และเผยแพร่ โด่งดังจวบจนถึงปัจจุบัน
ซูชินั้นได้ก้าวเข้ามาส่จุดสำคัญอีกครั้งนึงของวัฒณธรรมซูชิ คือ การเกิดขึ้นของซูชิสายพานในปี 1970 ซึ่งในที่ผ่านมานั้นซูชินับได้ว่าเป็นอาหารที่หรูหราและมีราคาสูงมาก การมาของซูชิสายพานเป็นการหมุนไปสู่ด้านตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง คือทำให้ซูชิ ไปสู่รากดั้งเดิมในสมัยก่อน คือ อร่อยและสามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเด็ ผู้หญิง หรือผู้ชาย ในหลากหลายประเทศหรือวัฒนธรรม
ปัจจุบันซูชิได้ขยายวัฒนธรรมเรื่องราวไปหลากหลายประเทศ หรือเชื้อชาติไปทั่วโลก เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ มาพัฒนาคู่กับธรรมเนียมเดิมในต้นตำรับ และขยายออกไปสู่โลกอีกครั้งจนเป็นวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และพร้อมพัฒนาตลอดเวลา ละตอนนี้คุณมีซูชิในดวงใจรึยัง ร่วมแชร์และแบ่งปันซูชิโปรดในคอมเม้นได้นะครับ
บทความนี้เป็นบทความที่เขียนโดย แอดมินเจถ้าผิดพลาดประการใดกะขอประทานอภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ
#แอดมินเจ
#ยากย่อยง่าย
ที่มาของรูป
โฆษณา