ในปีคริสตศักราช 1600 ได้เกิดสิ่งที่ปฏิวัติวงการซูชิขึ้นมาเลยกะว่าได้ นั่นคือ น้ำส้มสายชูหมัก ที่ผลิตได้จากสาเกขึ้นมา และได้นำมาใช้หมักซูชิ เพื่อให้เก็บได้นานขึ้น และเกิดรสเปรี้ยวอร่อยจากธรรมชาติ ตรงจุดนี้การกิน ปลาพร้อมกับข้าวซูชิหรือข้าวคลุกน้ำส้มสายชูหมัก ได้ถูกจัดเป็นมาตรฐานรูปแบบของซูชินั่นนเอง แต่น่าเสียดายที่ยุคนั้นซูชิยังคงเป็นที่นิยมอยู่แค่ใน เกียวโตและ โอซาก้า จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์การย้ายเมืองหลวงจากเกียว โต สู่ โตเกียว และการเพลิงไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ใน โตเกียว ก่อให้เกิดการกระจายของแรงงานออกไปตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ
การเกิดของซุ้มอาหารเนื่องจากแรงงานที่กระจายออกจากเมืองหลวง ไปยังหัวเมืองต่างๆนั้น ทำให้เกิดความต้องการร้านอาหารด้วยเช่นกัน ซุ้มอาหารจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับแรงงานทั้งหลายเหล่านี้ แต่การใช้ไฟเพื่อทำอาหารในช่วงนั้นผิดกฎหมายเนื่องจากการเกิดเพลิงไหม้ใน โตเกียว อาหารอะไรล่ะที่จะตอบสนองแรงงานผู้หิวโหยได้ ซูชิจึงได้รับความนิยมและถูกเผยแพร่ เพราะทำได้ง่ายและไม่ต้องใช้ไฟให้ผิดกฎหมาย แต่ซูชิในยุคนี้จะมีลักษณะคล้ายฟาสฟู้ด กล่าวคือมีวิธีการทำแบบ นาเระซูชิ ที่ใกล้เคียงกับเมื่อสองร้อยปีก่อน คือ หมักข้าวกับน้ำส้มสายชูและวางปลาไว้ข้างบนปิดฝาและเอาหินกดทับ จากนั้นจึงเอามาตัดเป็นแผ่นคล้ายขนมปังปอนด์แน่นอนว่าถึงจะเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดแต่กรรมวิธีไม่ได้ฟาสต์ตามไปด้วย
ในช่วงคริสตศักราช 1800 ได้เกิดการทำซูชิชนิดใหม่ขึ้น คือนิกิริซูชิ หรือ การปั้นซูชิด้วยมือทำให้ซูชิสามารถทำได้ง่ายขึ้นรวดเร็วขึ้นสามารถทำ ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะซุ้มอาหารหรือร้านอาหารรถเข็น และวิธีการทำนี้ยังได้แพร่กระจายออกไปนอกเอโดะอีกด้วย โดยนิกิริในยุคแรกนั้นมีขนาดใหญ่ไม่แพ้ข้าวปั้นกันเลยทีเดียวเพื่อให้แรงงานสามารอิ่มท้องได้ในราคาประหยัดนั่นเอง
** เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยซูชิแบบนิกิริที่ใช้ปลาจากเอโดะ(เกียวโต) นั้นจะมีชื่อ เรียกว่าเอโดะมาเอะ ซูชิ ซึ่งเป็นต้นแบบและรากฐานมาจนถึงซูชิปัจจุบัน**
ในปีคริสตศักราช 1923 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ในคันโตต่อเนื่องเหตุการณ์ไปจนถึง สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เชฟซูชินั้นได้อพยพไปตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ และได้นำความรู้ทางซูชิไปประยุกต์ให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นๆ โดยในช่วงแรกนั้นซูชิจะเป็นที่นิยมเฉพาะเครื่องแสง หรือจำพวกปลาเนื้อขาวเช่น ฮิราเมะ ฮามาจิ โคฮาดะ เป็นต้น แต่การการขาดแคลนอาหารในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อเมริกาได้บริจาคอาหารเข้ามา ทำให้ชาวญี่ปุ่นได้สัมผัสรสชาติ ความเข้มข้นของไขมัน ชีส และเนื้อแดงต่างๆ ดังจะเห็นได้ว่าอาหารดังเดิมโบราณของญี่ปุ่นจะไขมันน้อยและอุดมไปด้วยผักมากกว่า เหตุการณ์นี้เองจึงเป็นเหตุการณ์ที่พัฒนารสสัมผัสของชาวญี่ปุ่นให้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง จากที่ได้กล่าวมามาข้างต้นนั้นซูชิที่ทำจากทูน่าซึ่งมีไขมันสูงมากและอุดมด้วยรสอร่อย จึงได้ก้าวมาเป็นราชาแห่งซูชิจวบจนปัจจุบัน จากปลาทูน่าทเคยไร้ค่าแปรเปลี่ยนมามีค่าดั่งทอง
คริสตศักราช 1960 เป็นช่วงที่มีการเผยแพร่ซูชิไปทั่วโลกพร้อมกับการขยายตัวเศษฐกิจของญี่ปุ่น และได้เกิการคิดค้นการกินซูชิรูปแบบใหม่ครั้งแรกนากจากเกาะญี่ปุ่น นั่นคือ แคริฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งให้กำเนิดแคริฟอเนียโรล โดยใช้อโวคาโด แทนทูน่าเพื่อให้กินได้ง่ายเพราะชาวอเมริกันที่ในสมัยนั้นรู้สึกว่าทูน่าเป็นแค่อาหารกระป๋องที่ใช้ทำไส้แซนวิชหรืออาหารแมว และการกินของดิบๆเป็นเรื่องแปลก การที่พ่อครัวซูชิได้ใช้อโวคาโดมาทดแทนทำให้แคลิฟอเนียโรลได้รับความนิยมในอเมริกา และเผยแพร่ โด่งดังจวบจนถึงปัจจุบัน