11 พ.ค. 2020 เวลา 00:21
😀 พระฤาษีกไลยโกฎิ 😘
😀 พระฤาษีองค์นี้มีลักษณะพิเศษคือ เป็นพระฤาษีหน้าเนื้อ นับเป็นมหาฤาษีผู้ทรงตบะสูงส่งท่านหนึ่ง
😀 ท่านมีนามในตำราต่างๆ ว่า พระฤาษีฤษยะสฤงค์ บ้าง หรือ พระฤาษีอิสีสิงค์ บ้าง ตามตำราว่าเป็นบุตรของ พระฤาษีพิภาณฑกมุนี และเป็นหลานของ พระฤาษีกาศยปมุนี ซึ่งเป็นหนึ่งในฤาษีที่ทำพิธีอัศวเมธ เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าพระฤาษีกไลยโกฏิองค์นี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลฤาษีโดยแท้
😁 พระฤาษีกไลยโกฏิเกิดในป่าศาลวัน แคว้นองคราษฎร์ ซึ่งอยู่ในเขตเมืองพัทวิสัยของ ท้าวโรมพัตตัน (บางตำราว่า ท้าวโลมบาท) ผู้เป็นบิดาสั่งสอนไว้ว่าให้ระวังวัวเขาอ่อน มันมีเขาขึ้นบนอก เขามันแปลกเพราะว่าแทนที่จะแข็งกลับนิ่ม พูดง่ายๆ ก็คือ ให้ระวังผู้หญิงนั่นละครับ
😊 แต่พูดเป็นปริศนาธรรมไปหน่อย พระฤาษีกไลยโกฎิเกิดในป่าโตในป่า ไม่เคยเห็นเพศตรงข้าม จึงไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร ก็ได้แต่บำเพ็ญเพียรภาวนาจนบรรลุฌานสมาบัติตามลำดับ
ลายไทยเพื่อการอนุรักษ์
😃 พระฤาษีกไลยโกฎิสามารถนั่งนิ่งไม่ขยับกาย จิตดิ่งอยู่ในฌานเช่นนั้นโดยไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องกินน้ำ ก็สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยอำนาจจิตที่มีพลังงานมหาศาล จนได้ฌานสมาบัติสูงมาก มีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวง แต่การบำเพ็ญตบะฌานอันสูงส่งนี้กลับก่อความเดือดร้อนแก่เมืองพัทวิสัย
😃 เพราะด้วยเดชความแรงกล้าของฌานสมาบัติ ซึ่งมีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวงนั่นเอง ทำให้บ้านเมืองที่พระฤาษีกไลยโกฎเข้าฌานนั้นเกิดวิปริต ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลถึง ๓ ปี เกิดความแห้งแล้ง และเดือดร้อนไปทั่ว
😄 ท้าวโรมพัตตันตั้งพิธีบวงสรวงเทวดาถึงเจ็ดเดือนเจ็ดวัน ฝนก็ยังไม่ตก จึงให้โหรหลวงทำนาย (บางตำราว่าได้ข่าวจากนายวันจรกพรานป่า) ทรงทราบว่า เหตุที่ทำให้ฝนแล้งอยู่เป็นปีๆ นี้ ก็เพราะตบะฌานของพระฤาษีกไลยโกฎินั่นเอง
😄 คือในอินเดียสมัยโบราณ ถ้าปีไหนเกิดแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เขาจะลงความเห็นว่าเกิดจากฤาษีตนใดตนหนึ่งบำเพ็ญตบะเข้มเกินไป จนเกิดเตโชธาตุออกมาเผาผลาญให้อากาศร้อนไปหมด จึงต้องหาทางทำลายตบะฤาษีตนนั้นให้แตก ฝนจะได้ตกตามปกติ
😅 ท้าวโรมพัตตันจึงเสด็จไปยังป่าศาลวัน สั่งให้ทหารปลูกพลับพลาให้เป็นที่อยู่ของพระธิดาที่งดงามที่สุด คือ พระนางศานตา หรือ พระนางอรุณวดี แล้วส่งพวกนางโลมไปหลอกล่อพระฤาษีกไลยโกฏิออกมายังพลับพลาของพระนางศานตา
😁 แต่บางตำราว่า พระนางศานตาเข้าไปถึงอาศรมของพระฤาษีด้วยตนเอง เมื่อเห็นท่านนั่งนิ่งเข้าฌานอยู่ก็บีบนวดเคล้าคลึง เอาน้ำผึ้งไปทาริมฝีปาก เมื่อกระทำมากเข้าพระฤาษีกไลยโกฎิก็ออกจากฌานสมาบัติ ลืมตาดู เมื่อเห็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉม และได้รับการนวดการสัมผัสบีบคลำ ตัณหาภายในใจก็ฟุ้งขึ้น ที่สุดตบะเดชะที่บำเพ็ญไว้ก็เสื่อม ทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็กลับอุดมสมบูรณ์
😀 ท้าวโรมพัดตัน ได้กล่าวกับพระฤาษีกไลยโกฏิว่า การเสียตบะฌานอันแรงกล้าของพระฤาษี กลับกลายเป็นการ“ช่วยชีวาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งอุปัทวันอันตราย จะหายด้วยบุญพระอาจารย์” และได้ยกพระราชธิดาให้ รวมทั้งได้อัญเชิญพระฤาษีให้ออกจากป่าเข้าสู่เมืองพัทวิสัยของพระองค์ ให้เข้าไปอยู่ในพระราชฐาน โดยถวายปราสาทหลังหนึ่ง พระฤาษีกไลยโกฏิก็ได้อยู่ในมหาปราสาทนั้นต่อมาด้วยความผาสุก
😃 แต่ในอีกตำนานหนึ่งเล่าแตกต่างออกไปว่า เมื่อพระฤาษีกไลยโกฎิล่วงรู้ความจริงว่าท้าวโรมพัตตันส่งพระธิดามาทำลายตบะแล้ว ก็หนีหายเข้าไปในป่าลึกไปบำเพ็ญตบะใหม่ จนมีฤทธิ์กล้าเหมือนเดิม และเลิกสนใจในอิสตรีแต่นั้นมา เพราะล่วงรู้ถึงพิษสงที่โดนเข้าแล้วเป็นอย่างดีครับ
😁 ในรามเกียรติ์ยังมีเรื่องเกี่ยวแก่พระฤาษีกไลยโกฎิอีกว่า เมื่อตอนที่ท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาปราถนาจะมีพระโอรสสืบสกุลแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ทรงเชิญพระฤาษีกไลยโกฎิไปปรึกษา พระฤาษีกไลยโกฎิได้พาฤาษีอีก ๔ องค์ ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรแล้วทูลว่า โลกมีความเดือดร้อนเพราะพระอิศวรและพระนารายณ์ได้ประทานศรแก่ยักษ์ คงมีแต่ท้าวทศรถเท่านั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้ แต่พระองค์ไม่มีโอรส จึงควรให้พระนารายณ์อวตารไปปราบเหล่ายักษ์นั้น
😁 พระอิศวรจึงให้พระฤาษีอันมีฤทธิ์แก่กล้าทั้ง ๕ องค์มาทำพิธีหุงข้าวทิพย์ให้มเหสีของท้าวทศรถทั้ง ๓ พระองค์เสวย โดยพระฤาษีกไลยโกฎิเป็นประธานในพิธี จนทำให้เกิดพระราม พระลักษมณ์ขึ้นมานี่ละ
😁 ความจริงยังมีพระฤาษีหน้ากวางองค์อื่นอีกนะครับ แต่ไม่เป็นที่รู้จักหรือบูชากันอย่างพระฤาษีกไลยโกฎิ
😃 พระฤาษีท่านนี้ คือพระฤาษีหน้ากวางทอง หรือ พระฤาษีปะตาภา มีนิทานเล่าว่าเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกับ พระฤาษีหน้าเสือ ซึ่งเดิมทั้งสองก็มีหน้าเป็นคนปกติ แต่ได้ลองวิชากันโดยแสดงอิทธิฤทธิ์เปลี่ยนหน้าเป็นกวางและเสือ แล้วกลับร่างเดิมไม่ได้
😃 ในรามเกียรติ์ของไทย ยังเล่าว่าเมื่อภายหลังปราบทศกัณฐ์แล้ว พระนางสีดาถูกพระรามเข้าใจผิด ต้องออกจากกรุงอโยธยารอนแรมไปในป่า จนไปถึงอาศรมของ พระฤาษีวัชมฤค หรือพระฤาษีหน้าวัว เมื่อพระฤาษีวัชมฤคทราบเรื่องจึงให้นางสีดา ถือเพศเป็นดาบสสินี แล้วจำแลงกายให้เป็นพระฤาษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย เท่ากับเป็นพระฤาษีหน้ากวางอีกองค์หนึ่ง
😄 แต่ในทางนาฏศิลป์ ศีรษะของพระฤาษีที่เป็นหน้ากวางนั้นมีอยู่องค์เดียว คือพระฤาษีกไลยโกฏิเท่านั้น ทำเป็นหัวฤาษีหน้าเนื้อ สวมเทริดฤาษียอดบายศรี และมักจะทำเขากวางเล็กๆไว้ด้วย ชาวนาฏศิลป์นับถือเป็นครูแห่งการร้องรำ โดยมีตำนานกล่าวว่า ได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการขับร้องทั้งปวง
😄 ว่ากันว่า จะกระทำการสิ่งใดให้ประสบผลสำเร็จ หรือให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ควรอัญเชิญพระฤาษีกไลยโกฏิเข้าร่วมพิธีด้วย
😄 เพราะตามเรื่องราวของท่าน ถึงแม้การบำเพ็ญตบะของท่านจะทำให้ฝนแล้งถึง ๓ ปี แต่ว่าถ้าจะตีความกันจริงๆ แล้วมันก็คือปริศนาธรรมที่อาจจะเปรียบเทียบได้กับหลักหยิน-หยางของจีน ที่ว่า เมื่อพลังหยางแรงไปก็ต้องทำให้อ่อนลงจนเข้าสู่จุดที่พอดี ด้วยพลังหยินนั่นเอง เป็นเรื่องของความอุดมสมบูรณ์โดยแท้
 
😃 อีกทั้งท่านยังช่วยให้ท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาได้พระโอรส ซึ่งเป็นอวตารของพระนารายณ์มาปราบทุกข์เข็ญในโลก เป็นการอัญเชิญทิพยานุภาพจากสวรรค์มาชำระล้างหายนะของโลก (อันเกิดจากเหล่ายักษ์) ให้เป็นปกติสุข โดยนัยหนึ่งก็เหมือนเป็นการทำลายความแห้งแล้งด้วยความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากในทางเทวศาสตร์อินเดีย
ขอบคุณที่มาดีดีครับ http://shreegurudevamantra.blogspot.com/2016/01/blog-post_21.html
😍 ลายไทยเพื่อการอนุรักษ์ ไม่ใช้ในเชิงพานิชย์มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาแบบไม่แสวงหากำไร 😍
โฆษณา