เรื่องสั้นย้อนยุค (ตอนที่2)
สวัสดีครับเพื่อนๆ
ขณะที่เขียนเรื่องสั้นทดลองในตอนที่ 2 นี้ ,เปรมอยากจะให้มีธีมเพลงประกอบ เนื้อเพลงและทำนองจึงผุดขึ้นมา ในชื่อเพลง “จันทร์เจ้าขา” (เนื้อร้อง/ทำนอง/ร้อง: T.Mon+Prame)
วันนี้ ผมจึงขออนุญาตส่งเรื่องสั้นทดลองเขียน และคลิปเพลง”จันทร์เจ้าขา” ให้เพื่อนๆ นะครับ :)
บทที่ 1
ตอนที่ 2 จันทร์เจ้าขา
พรุ่งนี้แล้ว ที่เจ้าคุณสันติ จะมารับเด็กๆ ที่ครูช้อย คัดสรรไว้ เพื่อไปถวายเสด็จ ท่าน ในตำหนักต่างๆ
.
.
คืนนั้น หนูพาจึงตื่นเต้น นอนไม่หลับกระสับกระส่าย อาการดูคล้าย “เต่าใหญ่ไข่กลบ” พลิกไป พลิกมา นึกอยากให้ถึงรุ่งพรุ่งนี้ เร็วๆ
.
.
มิใช่ หนูพา ตื่นเต้นอยากจะเข้าตำหนัก เหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ดอก..
แต่ทุกครั้งที่เจ้าคุณสันติ มารับเด็กๆ ..ท่านเจ้าคุณก็มักจะเอา ขนม ของเล่นแปลกๆ มาฝากที่เรือน และเอาเรื่องการเดินทางอันน่าตื่นเต้นของท่านมาเล่าให้เด็กๆ ฟังอย่างสนุกสนาน ..
หนูพา ติดใจอยากฟังเรื่องสนุกของเจ้าคุณท่าน เสียจนอยากจะเป็นหนุมาน โจนขึ้นไปเร่งพระอาทิตย์ ให้รุ่งเช้าไวๆ เสียนี่กระไร..
.
.
ระหว่างที่ หนูพากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น ก็มีเสียงเรียกเบาๆ อยู่ข้างเรือน
.
“หนูพา.....หนูพา”
.
.
พอชะโงกหน้า ออกไป ก็เห็นหม่อมทินกร ยืนนิ่งสว่าง ราวกับมีหิ่งห้อย บินรายรอบเรืองแสง อยู่อย่างนั้น,
ใบหน้าหม่อมท่านขาวซีด แต่ยังคงยิ้มกว้าง อย่างใจดี มีเมตตาให้หนูพา เสมอเหมือน ในทุกๆครั้งที่เจอ
.
.
เสียงหม่อมท่าน เรียกเบาๆอีกครั้ง ว่า “อย่าเอะอะไปนะหนูพา..เดินเบาๆ ไปเจอข้าที่ เฉลียงฝั่งตึกเหลือง
ใกล้เรือนครูช้อยนะ ข้ามีเรื่องจะวานหนูพา สักหน่อย..”
.
.
“ได้เจ้าค่ะ” หนูพา พยักหน้ารับ แล้วหันกลับ ค่อยๆ ย่องออกทางประตู กึ่งวิ่งกึ่งเดินรีบไปพบหม่อมท่านที่ตึกเหลือง..
.
.
เมื่อไปถึงเฉลียงใหญ่ หน้าตึกแล้ว หนูพาก็ลงหมอบค่อยๆ คลานเข้าไปหา หม่อมทินกรที่นั่งอยู่บนตั่งกลางเฉลียง..
พอเข้าไปใกล้หม่อมทินกร ก็ลงกราบค้างไว้ อย่างเรียบร้อย งดงาม แล้วก้มหน้า นิ่งอย่างนั้น ...
แต่ก็ยังไม่วาย ที่จะเอามือเล็กซนๆ เขี่ยแคะพื้นเฉลียงเล่น...
ระหว่างที่รอฟังว่า หม่อมท่านจะพูดว่า อย่างไร..
.
.
.
จนอึดใจหนึ่ง จึงมีเสียงกระแอม เรียกให้หนูพาเงยหน้า และคลานเข้ามาใกล้อีก.. หนูพาจึงคลานเข้าไปหาใกล้ขึ้น ..ใกล้ขึ้น..
จนได้กลิ่นหอม ดอกไม้ และกลิ่นอบร่ำ กำจรกระจาย อยู่รอบๆ หม่อมทินกร..
และเมื่อมองไปรอบๆ ตั่งที่นั่ง หนูพาก็เห็นหีบสมบัติจำนวนมาก อัดแน่นด้วยชุดเครื่องทองของเก่า และกำปั่นเหล็กอีกหลายๆใบ บรรจุเครื่องเพชร แก้วแหวน เครื่องถมลงยา ในลักษณะต่างละลานตา ส่งแสงเรือง หลากสีสวยงามจนยากที่จะละสายตา..
หนูพาตาโต และเผลอพูดเบาๆ รัวๆ อย่างตื่นเต้น ว่า..
.
.
“หม่อมท่าน เป็นเจ้าของคณะลิเกด้วย รึเจ้าคะ?”
“ลิเกออกภาษา หรือลิเกทรงเครื่อง ก็ไม่เคยยอมบอกหนูพาเลยนะ เจ้าคะ”
“หนูพา เคยเห็นแต่เพชรวิบวับ คราเมื่อลิเกเล่น วันนี้มาเห็นใกล้ๆ งามจริง เลยนะ เจ้าคะ”
.
.
หม่อมทินกร ฟังพลาง ก็หัวเราะพลาง ด้วยเสียงดังกังวาล แล้วจึงกล่าวกับหนูพา ด้วยเสียงเอ็นดู ว่า
“..จิตใจเจ้า ใสงามยิ่ง
จนเติบใหญ่,
ไม่เปลี่ยนไป สักเท่าใด
เพราะบุญเจ้า,
ตั้งสติ เจริญไว้
ภัยบางเบา,
ทำสิ่งใด ให้ตั้งเป้า
เพื่อสยาม..”
.
.
“..ข้าอยากวาน ให้หนูพารับสิ่งนี้จากข้า ไปมอบให้เจ้าพีระ..หนูพิมและหนูพลอย พี่สาวของเจ้า ในวันพรุ่งนี”
หม่อมท่านพูดพลาง กับหยิบเหรียญรูปประหลาด ด้านนึงของเหรียญเป็นรูปนกใหญ่(ที่ไม่ใช่ครุฑ) คาบงูไว้ในปาก และขาทั้งสองข้าง ก็จับงูไว้เช่นกัน
ส่วนด้านหลังเป็นภาษาต่างชาติ ล้อมรอบ สัญลักษณ์บางอย่างคล้ายภูเขาที่มีรัศมีออกมา จำนวน 3 เหรียญ ใส่มือของหนูพา..
พร้อมกำชับว่า “คาถาบูชาเหรียญนี้ คือ วางพระทัยไว้..ข้างที่พระบรรทม”
ไหนหนูพา ลองทวนซ้ำให้ข้าฟังสักเที่ยว เถิด..
หนูพา ยิ้มรับจนตาหยี และร้องทวนเสียงดัง คล้ายบทลิเก ว่า “หม่อมท่านสอน คาถาบูชาว่าไว้ คือ.. วางพระทัย ไว้ข้างที่พระบรรทม..ชะ เอิงเอย”
หม่อมทินกร พยักหน้ายิ้มรับอย่างเอ็นดู และกล่าวว่า.. “พรุ่งนี้ เจ้าคุณสันติ เค้าจะยังไม่เลือกเจ้าไปถวายเสด็จคราวนี้ดอกนะ”
.
.
“แต่เค้าจะคัดสรร หนูพิม หนูพลอย พี่สาวของเจ้าไปถวายในสำนักสมเด็จท่าน”
“และนำ เจ้าผาด เจ้าไกรสรและเจ้าพีระ เข้าถวายในเสด็จ อีกพระองค์หนึ่ง”
หนูพา หลุดอุทานเบาๆ
“คุณเจ้าขา”
.
.
คล้ายเวลาจะหยุดไปชั่วขณะ แม้ภาพของหม่อมท่านก็ค่อยๆพร่าลง วูบด้วย
.
.
“ส่วนเจ้านั้น..” หม่อมทินกรยังพูดไม่ทันจบ พลันเหลือบสายตาไปเห็น หนูพากำมือแน่นนิ่ง พยายามกลั้นสะอื้น กลั้นน้ำตา ที่ค่อยๆไหล ออกมาไม่ขาดสายจากดวงตาโตคู่นั้น
.
.
“หนูพากระเถิบเข้ามานั่งข้างๆ ข้าตรงนี้สักหน่อย จะให้ดูอะไร” หม่อมทินกรกล่าวด้วยเสียงเจือเมตตา แต่ไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ
.
คุณหนูพา จึงค่อยๆปาดน้ำตาช้าๆ และค่อยๆขยับคลานเข้าไปชิดตั่งที่นั่ง ขณะที่หม่อมทินกรเอื้อมมือไปหยิบหีบเล็กๆ และเปิดฝาขึ้น.. ที่ด้านในฝาบุด้วยกำมะหยี่สีน้ำเงิน มีกระจกเงาติดอยู่ และหอมกลิ่นอบร่ำ อยู่จางๆ...
.
.
“หนูพา เลิกร้องไห้เถิด ดูนี่สิ” หม่อมทินกรชี้ให้หนูพาดูหน้าตัวเองในกระจก
หนูพาดูหน้าในกระจก ก็รีบเช็ดน้ำตาให้แห้ง พลางฉงนกับภาพที่เห็นข้างหน้า..
ที่ปรากฏเป็น ใบหน้างามของหญิงสาวชาววัง ดวงตาดำขลับ กลมโตใส รับกับคิ้วเรียงสวย และ จมูกที่ขึ้นสันงาม กำลังมองมาที่หนูพา และที่คอของหญิงสาวชาววังนั้น ก็สวมสร้อยลายพิกุลจี้ตลับ ลักษณะเดียวกันกับที่เจ้าคุณพ่อให้หนูพา ..และ ที่ด้านหลังของหญิงสาวชาววัง ยังมีชายหนุ่มสูงสง่า หน้าตาเกลี้ยงเกลาหมดจด ยืนรออยู่ กับคณะ คล้ายกำลังจะเดินทางไปที่ใด...
และก่อนที่หนูพาจะเอ่ยถาม,
หม่อมทินกร ก็หยิบขนนกเขียนหนังสือ ออกมา แล้วจึงปิดฝาหีบเล็กนั้นลงช้าๆ
ก่อนเอ่ย ขึ้นพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ว่า
“หนูพา หยุดร้องแล้ว นะเจ้า”..
“เอ้างั้น ข้าให้ค่าจ้างเลิกร้องไห้เป็นของสิ่งนี้..”
หม่อมทินกร ยื่นขนนกเขียนหนังสือส่วนตัว ของท่านให้ ที่ก้านมีสลักคำว่า “This too shall pass”..
หนูพารู้สึกวูบด้วยความปิติ ที่ได้ของประทานพิเศษชิ้นนี้
.. จึงก้มลงกราบที่ปลายเท้าของหม่อมท่านอีกครั้ง
ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมา หนูพา กลับสะอื้นขึ้นอีกครั้ง ..
หม่อมทินกรจึงลูบศีรษะ หนูพาด้วยความเอ็นดู และ กล่าวอีกครั้งว่า “สงสัยจะไม่พอ”..
คราวนี้ หม่อมท่านจึงยื่นมือไปทางพระจันทร์ และโบกมือ คว้าอากาศอยู่สองสามครั้ง แล้วนำมาบริกรรมคาถางึมงำบางอย่าง..
ก่อนนำมาเป่าลงบนกระหม่อมหนูพา และสวดให้พรด้วยทำนองสวดอะไรบางอย่าง,
หนูพา ก้มกราบรับพรนั้นและค่อยๆรู้สึกง่วงนอน ร่างกายเบาโปร่ง คล้ายจะบินได้ ก่อนจะได้ยินทำนองเสียงเพลง เนื้อความว่า
“..จันทร์เจ้าขา
คล้ายดังแววตา ..นวลเจ้า
ดาวพร่างพราว
เผลอมองดูเจ้า..นอนฝัน
หลับตาลงครั้งใด
อุ่นในใจอย่างนั้น..
คิดถึงกัน บ้างไหมนะ
เจ้านวลจันทร์
จันทร์เจ้าขา
ขอช่วยส่งความ..คิดถึง
ดาวพร่างพราย คิดครวญ
คนึง..เฝ้าหา
หลับตาลงครั้งใด
อบอุ่นใจหนักหนา
ยามที่คิดถึงครา
เมื่อเราเจอกัน..”
ก่อนที่ หนูพาจะเคลิ้มหลับสนิทประโยคสุดท้าย ก็ได้ยินเสียงจาก หม่อมทินกร แว่วมาในภวังค์ แห่งฝัน ว่า
.
.
“แม่หนูพา เอ๋ย,
เจ้าจะได้ยินเพลงนี้ อีกครั้งโดย คนที่เจ้ารัก ..
ร้องเพลงนี้ให้เจ้าฟัง,
และจะได้ยินอีกครั้งเมื่อคนที่รักเจ้า..ขอให้เจ้าร้องเพลงนี้ให้ฟัง..
หนูพา อมยิ้มแล้วพลางรำพึงเบาๆ ก่อนจะเข้าสู่ภวังค์นิทรา ว่า “คุณเจ้าขา .. จะเป็นคนไหนกันนะ”
จบตอนที่2
#เกร็ดเพิ่มเติม,
#การแต่งสำเภาโดยหม่อมทินกร,
-ข้อความตอนหนึ่งในบันทึกมีว่า “สืบถามพวกเชื้อวงศ์ได้ความว่า เมื่อในรัชกาลที่ 3 นั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้กรมหลวงเสนีบริรักษ์มีหน้าที่แต่งสำเภาหลวงไปค้าขายเมืองจีนด้วยสามลำ (ฤาจะได้แต่งมาแต่ในรัชกาลที่ 2 แล้วก็จะเป็นได้) หม่อมเจ้าทินกรได้เป็นผู้ช่วยพระบิดาแต่งสำเภา ครั้นกรมหลวงเสนีบริรักษ์สิ้นพระชนม์ จึงโปรดให้หม่อมเจ้าทินกรเป็นผู้แต่งสำเภานั้นต่อมา”
หม่อมเจ้าทินกร จึงเป็นกำลังสำคัญในสยามสมัยรัชกาลที่3,
#เต่าใหญ่ไข่กลบ หมายถึง อาการพยายามกลบเกลื่อนปิดบัง ไม่ให้คนอื่นรับรู้ ซึ่งใช้ได้ทั้งลักษณะการกลบเกลื่อนปิดบังความผิด หรือ การกลบเกลื่อนอาการต่างๆที่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้”
#ลิเกออกภาษา คือ ลิเกนำเพลงออกภาษาของการบรรเลงปี่พาทย์ และการสวดคฤหัสถ์ในงานศพสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการแสดงล้อเลียนชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระนครขณะนั้น ด้วยการนำการแต่งกาย น้ำเสียงในการพูดภาษาไทยปนกับภาษาของตน,
#“This too shall pass”
แปลว่า “สิ่งนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน”
วลี ที่เป็นที่นิยม ของ ประธานาธิบดี อัมบราฮัม ลินคอนในช่วงรัชสมัย รัชกาลที่ 4
สวัสดี และขอจบเพียงเท่านี้
ขอบคุณครับ
ร้อยเรียงข้อมูล และฝึกเขียนเรื่องสั้น (T.Mon)
10/5/2020