10 พ.ค. 2020 เวลา 13:30 • บันเทิง
เรื่องเล่าจากห้องเก็บศพ # 2 คืนที่แสนยาวนาน
แผ่นหลังเปล่า ๆ วางแนบลงบนเตียงสเตนเลสเย็นยะเยือก หูได้ยินเสียงมีด ผ่าตัดคมกริบกรีดผ่านชั้นผิวหนังจากบริเวณหัวไหล่ทั้งสองข้างลากมา บรรจบกันที่ยอดอก แล้วกรีดต่อลงไปยังหน้าท้อง ผ่านสะดือสุดตรงท้องน้อย
ถ้าลากเส้นเชื่อมกันจะเป็นรูปคล้ายตัว “Y” แล้วผมก็สะดุ้งตื่น! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมฝันแบบนี้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมต้องเป็นผู้ถูกผ่าเสียเอง
ที่พักของผมอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก สามารถเดินสบาย ๆ ไม่ถึง 20 นาทีก็ถึงที่พักแล้ว ตอนเย็นหลังเลิกงานระหว่างทางก็มีร้านขายของมากมายทั้งร้านกิ้ฟช็อป ของกิน ร้านเครื่องเขียน และที่สำคัญมีร้านข้าวขาหมูเจ้าอร่อยที่เปิดมานานกว่า 50 ปีรวมอยู่ด้วย สมัยเรียนผมกับเพื่อน ๆ พากันมากินร้านนี้บ่อยแถมยังมีเมนูข้าวหน้าไก่รสชาติดีอีกด้วย กินเสร็จตบท้ายด้วยโอ เลี้ยงเย็น ๆ อร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ ตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่ผมก็ไม่ได้กินร้านนี้อีกเลยวันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่ผมเดินผ่านหน้าร้านข้าวขาหมูในตำนานใจก็นึก อยากกินแต่นึกไปนึกมาไม่เอาดีกว่า น่าจะกินไม่ลง เลยซื้อกล้วยไข่จากยายร้านข้างๆที่นั่งขายกับพื้นหนึ่งหวีเดินหิ้วกลับไปถึงหน้าหอซื้อน้ำแข็ง 1 ถุง น้ำโพลาลิตร 1 ขวดขึ้นไปกินบนห้อง เอนหลังลงนอนบนเตียงไม้เตี้ย ๆ ขนาดพอดีตัวเหลือพื้นที่นิดหน่อยพอได้วางของใช้ จะเอาอะไรมากกับห้องพักรา คา 1500 บาทมีห้องน้ำในตัวก็ถือว่าดีโขแล้ว แต่ถึงแม้ไม่มีวิทยุไม่มีทีวีมีแต่ผมก็มีพิณเก่า ๆ ตัวหนึ่งเอาไว้ดีดเล่นคลายเหงาได้
หลังจากที่ผมได้เอนหลังลงไปจำได้ว่าดูนาฬิกาประมาณ 17.30 น. นอนดีดพิณเบา ๆ แล้วก็เผลอหลับไปจนฝันตามที่เล่าไว้ตอนต้น ตื่นมาอีกทีก็ห้าทุ่มกว่า ทีนี้ก็ตาแข็งแล้วน้ำก็ยังไม่ได้อาบซึ่งปัญหาของผมก็คือตอน อาบน้ำนี่แหละ ในช่วงเดือนแรกของการทำงานผมจะมีความเบื่ออาหารกับ ความกลัวสลับกันไป คือ 15 วันแรกจะเบื่ออาหาร ส่วนอีก 15 วันที่เหลือจะกลัวผี กลัวชนิดที่ว่าตอนอาบน้ำจะไม่กล้าหลับตาเลยเพราะภาพของศพที่ ผ่าแต่ละเคสมันลอยเข้ามาในความคิดเป็นฉาก ๆ เหมือนฉายหนังเลยก็ว่า ได้ช่วงนี้ผมจะดูซูบผอมและอิดโรยไปเลย ความสุขเดียวที่หาได้คือการดีด พิณอีสานเก่า ๆ ตัวนี้แหละ
เมื่อเวลาผ่านไปจวบจนเข้าปีที่ 3 ของการทำงานทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้นมาก เริ่มเข้าที่เข้าทาง สามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานได้ดีและพร้อมพัฒนาตัว เองอย่างเต็มที่ เริ่มอยากลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำนั่นก็คือการไปรับศพคน ตายบนตึกและต่อไปนี้เป็นข้อความจากบันทึกเมื่อวันที่ 18.เม.ย.46 ครับ
18.เม.ย.46 หลังจากกลับจากไปส่งแฟนที่บ้านแล้ว เราไม่ได้กลับหอ เพราะว่าจะไปที่ทำงาน ไปถึงห้องศพประมาณห้าทุ่มกว่า คืนนี้คนอยู่เวรรับ ศพคือพี่ปื๊ด พี่แกละ และพี่ไมตรี ตอนเข้ามาเจอพี่ปื๊ดนั่งดูทีวีอยู่คนเดียว ไฟห้องปิดหมดแล้ว เราก็กดกริ่งหน้าห้องให้เปิดประตูจะได้เอามอเตอร์ไซค์เข้าไปเก็บด้วยและพี่ปื๊ดก็ลุกมาเปิดประตู
“อ้าว...มาไงเนี่ย” พี่ปื๊ดทักทาย
“ขอนอนด้วยคนครับพี่ปื๊ดมีลงมั่งยัง (หมายถึงมีศพลง)”
“ลงรายเดียวตอน 4 ทุ่ม” พี่ปื๊ดตอบ
จากนั้นเราก็เก็บรถเสร็จเดินเข้าไปในห้องทีวีก็ยังเปิดอยู่ พี่ปื๊ดลงไปนั่งตรง เปลพับหน้าทีวีเหมือนเดิม ส่วนเราก็นั่งอยู่บนเก้าอี้อยู่ข้าง ๆ นั่งดูทีวีอยู่สักพักหันไปดูพี่ปื๊ดหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ส่วนพี่ไมตรีกับพี่แกละตอนเราเข้ามาก็นอนหลับกันแล้วอยู่ในห้องแยกอีกห้องหนึ่งติดกัน ตอนนี้ก็เหลือเพียงเรา คนเดียวที่ยังไม่หลับก็เลยนั่งดูทีวีคนเดียวต่อไป
ตอนนี้ก็เป็นเวลา 01.00 น. หนังในทีวีก็จบไปแล้ว ปกติเราก็นอนดึกเป็นประจำก็เลยไม่ได้คิดว่าดึกสักเท่าไหร่ แต่วันนี้ก็เริ่มง่วงแล้วล่ะ (ห้องพักที่พวกเราอยู่นี้อยู่ห่างจากห้องเก็บศพประมาณ 5 ก้าว)
กริ๊ง ๆๆๆ..... เสียงโทรศัพท์ที่เค้าท์เตอร์ก็ดังขึ้น จากความคุ้นเคยเราก็รู้ว่าเป็นสายที่โทรมาจากข้างนอกไม่ใช่จากตึกผู้ป่วยแน่ ๆ เสียงนั้นทำให้พี่ปื๊ดที่นอนอยู่ไม่ไกลจากโทรศัพท์สะดุ้งตื่นแล้วเด้งตัวไปรับสายอย่างรวดเร็ว สรุปว่ามีคนโทรเข้ามาให้ออกไปฉีดยาศพข้างนอก พี่ปื๊ดก็ปฏิเสธไปเพราะที่ทำงานไม่ได้มีนโยบายให้ออกไปฉีดยาศพนอกสถานที่ พอวางหูเสร็จก็หันมาพูดกับเราว่า
“เอ้า..ตาอ๊อดนอนตรงไหนเนี่ย!”
“นอนตรงนี้แหละพี่ปื๊ด” เราหมายถึงที่นอนเล็ก ๆ ที่มีฉากกั้นซึ่งในตอนกลางวันจะใช้เป็นที่กินข้าวและนั่งพักผ่อน แต่พี่ปื๊ดคงเข้าใจว่าเราจะนั่งหลับบน เก้าอี้ แกเลยเรียกให้เราไปนอนบนเปลของแกแทน
“เอ้ามานอนตรงนี้สิ” แกก็ลุกขึ้นจากเปลไปปิดทีวีแล้วก็เดินไปนอนตรงที่เราคิดจะนอนตอนแรกนั่นแหละ เราลุกไปนอนแทนที่พี่ปื๊ดตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ต่างคนก็ต่างนอน สักพักก็ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ จากพี่ปื๊ด ตอนนี้ทุกคนก็ หลับหมดแล้ว เราก็เริ่มจะเคลิ้มแต่ยังไม่หลับเพราะแอร์เย็นมาก จนต้องลุก ไปหาเสื้อคลุมมาห่ม ส่วนผ้าห่มไม่ต้องพูดถึงมีแค่ 3 ชุดเท่าจำนวนคนอยู่เวร เท่านั้น เราก็เอาเสื้อคลุมที่โรงผ้ามาส่งเมื่อตอนหัวค่ำนั่นแหละเป็นผ้าห่ม สักพักเราก็เริ่มเคลิ้มอีกครั้งแต่ก็ยังไม่หลับอยู่ดีเพราะยุงเยอะ มากัดตรงที่เสื้อ คลุมขาดพอดี (ดันไปหยิบตัวที่ขาดมาห่ม สงสัยมันมืด) คันที่มือกับแขนนี่คงแดงไปหมด ด้วยความง่วงอีกทั้งดึกมาก เราก็เลยหลับไป
“กริ๊ง ๆๆๆ ......ๆๆๆ.....” เสียงโทรศัพท์ดังยาวจนทำให้เรารู้สึกตัวตื่นไปรับโทรศัพท์เพราะตอนนั้นเราอยู่ใกล้โทรศัพท์ที่สุด
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ ตามรับศพที่ห้อง ICU นิวโร ตึก 6 ค่ะ” เสียงพยาบาลปลายสายพูดก่อนที่เราจะตอบ
“ครับ” แล้วก็วางหู จากนั้นเราหันไปที่พี่ปื๊ดไม่รู้ว่าแกตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ สงสัยคงตื่นพร้อมกันตอนเสียงโทรศัพท์มานั่นแหละดึก ๆ เงียบๆอย่างนี้เสียงโทรศัพท์ยิ่งดังชัดมากแลย แกลุกจากที่นอนเดินมาเปิดไฟห้อง
“รับศพเหรอ?” พี่ปื๊ดถาม
“ครับตึก ICU ชั้น 6 ” เราตอบพร้อมกับลงบันทึกในสมุดการรับโทรศัพท์ พร้อมระบุเวลาการรับโทรศัพท์ซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 03.30 น.แล้ว จากนั้นก็ เตรียมเอกสารการรับศพและใบประเมินเพื่อขึ้นไปรับศพ พี่ปื๊ดใส่เสื้อทำงาน เรียบร้อยพร้อมลุย แต่เราไม่มีเสื้อฟอร์มใส่เพราะปกติไม่ได้ทำแบบนี้จะช่วย คุณหมอผ่าศพอย่างเดียว เลยถามพี่ปื๊ดว่า “มีเสื้อให้ผมใส่หรือเปล่า” พี่ปื๊ดก็นิ่งสักพักคงไม่คิดว่าเราจะไปรับศพกับแกเองจึงถามย้ำกับเราว่า
“จะไปเอง เหรอ?”
“ครับ” เราตอบ
“ผมจะหาเสื้อได้ที่ไหน” พี่ปื๊ดเดินเข้าไปในห้องนอนหยิบเสื้อออกมาตัวหนึ่งหน้าอกปักชื่อ นายไมตรี
“เอาของไมตรีนี่แหละ” แกบอก ผมเดินไปรับเสื้อจากพี่ปื๊ดและมองผ่านประตูห้องนอนเข้าไปเห็นพี่สอง คนกำลังนอนหลับอยู่จึงค่อย ๆ ปิดประตูไว้อย่าง เดิมก่อนใส่เสื้อพร้อมทำงาน เต็มที่ รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
เรากับพี่ปื๊ดออกเดินทางไปพร้อมกับรถเข็นศพ 1 คัน ถุงมือยางคนละคู่ ตอนแรกเราขอเข็นรถเองแต่พี่ปื๊ดไม่ยอมบอกให้เราเดินตามเฉย ๆ ระหว่าง ทางจะต้องเข็นรถผ่านตึก 2 ตึก คือตึกโภชนาการกับตึก 74 ปี เวลานั้นถนน ไม่มีคนเดินเลย ว่างเปล่า ต่างจากเวลากลางวันที่มีคนเดินขวักไขว่อยู่ตลอด เวลา แสงไฟสว่างตามจุดเป็นระยะ ๆ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เราก็ไปถึงตึก เป้าหมาย
พวกเราออกจากลิฟต์เดินตรงเข้าไปผ่านเค้าท์เตอร์ด้านหน้าซึ่งตอนนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลยอาจเป็นเพราะว่าตอนกลางคืนไม่มีคนทำงานละมั้ง ก่อนถึงห้องไอซียูนั้นเราต้องผ่านประตู 1 บาน พร้อมทั้งต้องเปลี่ยนรองเท้าที่อยู่ ในห้องข้าง ๆ เราถามพี่ปื๊ดหลังจากที่เปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้ว
“เข็นรถเข้าไปเลยมั้ยครับพี่?”
พี่ปื๊ดตอบว่า “เปล่า..เราต้องเปลี่ยนเป็นรถอีกคันของที่นี่เพื่อป้องกันการติด เชื้อ”
แล้วพวกเราก็พากันย้ายเปลสนามสำหรับยกศพจากรถของเรามาใส่ไว้บนรถคันใหม่ เดินเข็นรถต่อไปถึงหน้าห้องมีป้ายเขียนว่า ไอซียูประสาทศัลย์ หรืออะไรสักอย่างแต่ถ้าเดาจากชื่อน่าจะเป็นคนไข้ที่ผ่าตัดสมองแล้วมาพักฟื้นที่นี่ พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนตลอดระยะเว ลา 3 ปีที่ทำงานมา มันคือความแปลกใหม่ที่เรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่มีเกียรติที่ได้เข้ามาทำได้เข้ามาสัมผัสกระบวนการทำงานจริง ๆ มองไปรอบ ๆ เห็นเตียงคนไข้ทางด้านซ้ายมือเรียงกันเป็นแถว 3 – 4 เตียง ซึ่งแต่ละเตียง ล้วนเป็นคนไข้ที่พร้อมที่จะเสียชีวิตได้ตลอดเวลาทุกวินาที ตรงนี้ทำให้เรารู้ สึกถึงความสุดยอดของคนที่เขาได้สัมผัสช่วงเวลาระหว่างความเป็นกับความตายซึ่งมีพยาบาลยืนอยู่ตรงกลางเส้นแบ่งนั้น ต่างจากเราที่ได้สัมผัสกับความตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ฝั่งขวามือเป็นเค้าท์เตอร์พยาบาลโค้งยาวเกือบครึ่งห้อง ในห้องมี พยาบาล 3 คนใส่ชุดสีเขียว คนแรกเดินตรงมายังเราทั้งสอง บอกว่า
“เตียง 2 นี่ ล่ะค่ะ” พร้อมกับเปิดม่านกั้น จากที่ตอนแรกปิดอยู่
พี่ปื๊ดก็เข็นรถเข้าเทียบกับเตียงผู้ป่วย ส่วนเราเดินไปที่เค้าเตอร์พร้อมยื่นเอกสารการรับศพและใบประเมินมอบให้แก่พยาบาลอีกหนึ่งคน ส่วนพยาบาลอีก 1 คนง่วนอยู่กับคนไข้เตียงที่ 4 ทำการดูแลคนไข้อยู่ในขณะนั้น
เมื่อนำรถเทียบเตียงเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็นำเปลสนามที่เป็นผ้าสอด เข้าไปที่ตัวผู้ป่วย ซึ่งปกติเราจะใช้ไม้พลองหามไปขึ้นรถในกรณีที่ไม่สามารถนำรถเข็นเข้ามาเทียบกับเตียงได้โดยเฉพาะบนหอผู้ป่วยรวมใหญ่ 12 ชั้นที่มีพื้นที่แคบ ๆ เป็นต้น ส่วนตึกที่มีพื้นที่กว้างขึ้นมาหน่อยจะมีรถเข็นภายใน ให้ใช้ก็จะมีตึกผู้ป่วยเด็กเป็นต้น เพราะตึกเหล่านี้จะค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องการติดเชื้อ แต่ในวันนี้พวกเราไม่ได้ใช้ไม้พลอง เราจะใช้แผ่นสไลด์ย้ายศพผู้ป่วยขึ้นรถแทน
สไลด์นี้จะเป็นแผ่นกระดานพลาสติกยาวประมาณ 2 เมตร กว้างประ มาณ 60 เซนติเมตร วิธีใช้คือ นำมาพาดระหว่างเตียงกับรถเข็นศพ แล้วยก ศพผู้ป่วย (ที่มีผ้าเปลรองอยู่) ไหลขึ้นมาตามแผ่นกระดานมายังรถเข็น วิธีนี้ จะเป็นการทุ่นแรงยกได้มากในกรณีที่ผู้ป่วยตัวใหญ่
เมื่อยกศพขึ้นรถเข็นเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เดินกลับไปที่เค้าท์เตอร์อีกครั้งเพื่อไปเก็บเอกสารการรับศพก่อนจะเข็นศพกลับไปเก็บที่ห้อง ขากลับเราต้องย้ายเปลของเราพร้อมกับศพมาใส่ที่รถเข็นของเราแล้วปิดฝากระโจม ครอบ เปลี่ยนรองเท้า แล้วก็เดินทางกลับใช้เวลา 10 นาทีก็ถึงห้องเก็บศพ จากนั้นก็จัดแจงใส่เสื้อคลุม ถุงมือ สวมหมวก ใส่หน้ากากเพื่อจะนำศพเข้า ไปเก็บในตู้เย็นเก็บศพ ใช้เวลา 5 – 6 นาที พร้อมทั้งลงบันทึกชื่อ นามสกุล ศพลงบนกระดานหน้าตู้เย็น เพื่อคนที่มารับเวรต่อจะได้ดำเนินการต่อได้สะ ดวก จากนั้นเราก็ถอดถุงมือ เสื้อคลุม หน้ากาก หมวกออก แล้วไปล้างมือ ส่วนเราก็ถอดเสื้อพี่ไมตรีออกและเปลี่ยนเป็นเสื้อของเราเอง หลังจากนั้นเรากับพี่ปื๊ดก็เข้าประจำที่ ต่างคนต่างนอน เรานอนหลับสนิทมากเลย ตอนเช้านี้ตื่นอีกทีตอนประมาณหกโมงกว่าตอนที่คนรับเวรมาเปิดไฟในห้องสว่าง เราก็เลยลุกขึ้นไปล้างหน้าและเดินทางกลับหอ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจของคืนที่ แสน ยาวนานนี้
คติจากใจของพี่ปื๊ด “เรามีเวรมีกรรมกับคนตายจึงต้องมารับส่งเขาอย่างนี้”
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับตอนที่สอง คุ้มค่ากับที่รอคอยมั้ย ส่วนหนึ่งของเรื่องราวการทำงานของคนใกล้ศพถูกถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือให้คนทั่ว ไปได้รับรู้ว่าเมื่อหนึ่งชีวิตต้องจบลงมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นบ้างและคนกลุ่มนี้คือผู้ ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง ความตายเป็นสิ่งใกล้ตัวของพวกเราทุกคนจง ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทรัพย์สินเงินทองสะสมมากก็เอาไปไม่ได้มี เพียง คุณงามความดีเท่านั้นที่ยังคงอยู่กับตัวเราตลอดไป
ปัจจุบันพี่ปื๊ดเกษียณราชการไป 5 ปีกว่าแล้ว ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขกับลูกกับหลาน พี่แกละเสียชีวิตหลังจากเกษียณได้ไม่นาน ส่วนพี่ไมตรียัง ปฏิบัติงานอยู่จนถึงปัจจุบัน
สุดท้ายผู้เขียนขอขอบพระคุณพี่ปื๊ดและพี่ไมตรีที่อนุญาตให้ใช้ชื่อเขียนลงในบทความนี้ และขอระลึกถึงพี่แกละหนึ่งในตำนานพนักงานผ่าศพผู้ล่วง ลับ ขอให้ดวงวิญญาณของพี่ไปสู่สุคติด้วยเทอญ
โฆษณา