12 พ.ค. 2020 เวลา 08:10
การช่วยย้ายถิ่นฐานกุ้ง Murray Crayfish เพื่อดำรงรักษาเผ่าพันธุ์ของกุ้งชนิดนี้ไว้ โดยความร่วมมือของชาวประมงท้องถิ่น และ นักวิทยาศาสตร์
ด็อกเตอร์ Nick Whiterod นักวิทยาศาสตร์ที่ทำโครงการๆ อนุรักษ์ กุ้งเครย์ฟิชหนามยักษ์แห่งแม่น้ำ Murray , " Murray Crayfish " กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่พบว่ากุ้ง Murray Crayfish ที่ได้ถูกนำมาปล่อยเพิ่มเติมในแม่น้ำ Murray นั้น มีอัตราในการรอดที่สูงมาก และ จากการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2017 นี้ พบกุ้งวัยกำลังเจริญเติบโต ในปริมาณกว่า 200 ตัว แม้ว่าจะยังไม่ถึงระยะเวลาเจริญพันธุ์ของกุ้งเครย์ฟิช ที่มีอายุได้มากถึงกว่า 25 ปีพวกนี้ก็ตาม
พื้นที่อยู่อาศัยแต่เดิมของกุ้งเครย์ฟิชชนิดนี้ ถูกผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้เกิดความแห้งแล้งมาเป็นเวลานาน และ เมื่อพายุฝนถล่มกลับมา ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับกุ้งเครย์ฟิชที่หายากเหล่านี้เลย เนื่องจากเมื่อน้ำท่วมใหม่อีกครั้ง ก็ทำให้เกิดตะกอนดิน และ มีการทับถมของซากพืช ซากสัตว์
ที่เน่าเปื่อยปริมาณมหาศาล ที่ทำให้ คุณภาพน้ำแย่ลง เนื่องจากในขั้นตอนในการย่อยสลายสิ่งเหล่านี้ทำให้น้ำมีคุณภาพต่ำลงมาก ( เกิดสภาวะ "น้ำดำ" ) แม้ว่า กุ้งเครย์ฟิช จะพยายามปรับตัวให้อยู่รอด โดยการขึ้นบกเป็นเวลานานๆแล้วลงน้ำแค่พอให้เหงือกชุ่มชื่นเพื่อประทังชีวิต แต่หลายๆตัว ก็ตายไปโดยสัตว์ผู้ล่าชนิดอื่นๆ หรือ ชาวประมงที่จับตัวกุ้งเองไปจนปริมาณของกุ้งเครย์ฟิชชนิดนี้ ลดลงจนเข้าขั้นวิกฤต รวมทั้งสภาวะอากาศที่ร้อน ก็ส่งผลให้กุ้งเครย์ฟิชชนิดนี้ ตายไปเป็นจำนวนมาก แค่ภาวะ " น้ำดำ " ที่ปรากฏขึ้นอย่างเดียว ก็ทำให้ Murray crayfish มีจำนวนประชากรลดลงถึง 81 เปอร์เซ็นต์แล้วและยังส่งผลกระทบไปถึงสัตว์น้ำในสปีชียส์เดียวกันนี้ ที่มีปริมาณลดลงไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์อีก , ดร. Whiterod กล่าว ,
บ้านใหม่ของกุ้ง Murray Crayfish ที่ทางดร. Whiterod ได้เริ่มทำกระบวนการย้ายบ้านใหม่ ให้กับกุ้ง Murray Crayfish โดยได้รับความร่วมมือจากชาวประมงท้องที่ ๆ ต้องการมีส่วนในการอนุรักษ์กุ้งเครย์ฟิชยักษ์ชนิดนี้เช่นกัน โดยได้ทำการย้ายไปที่พื้นที่ชื่อ Echuca ในเขต Large eskies พร้อมกับการทำสัญลักษณ์ให้จดจำได้ สำหรับกุ้งเครย์ฟิชแต่ละตัว ซึ่งพื้นที่ใหม่นี้มีความเหมาะสมหลายๆประการ ในการดำรงชีวิตอยู่ของ Murray Crayfish เนื่องจากมีน้ำที่ใหลเอื่อยๆ คุณภาพน้ำดี และ มีแหล่งซากไม้จมน้ำ จำนวนมาก ที่เป็นแหล่งซ่อนตัวที่เหมาะสมสำหรับกุ้งเครย์ฟิชทุกขนาด และภายใต้ความร่วมมือของชาวประมงท้องที่ จาก NSW Fisheries ก็ทำให้ภารกิจในการย้ายบ้านของกุ้งเครย์ฟิชหนามยักษ์ชนิดนี้ ลุล่วงไปได้ด้วยดี
คุณ Asmus ชาวประมงบอกว่า " จริงๆแล้ว กุ้ง Murray Crayfish นี้นั้น ทางรัฐเขาก็มีช่วงกำหนดให้ทำการจับได้อยู่นะมาตรฐานในการจับ ก็มีระบุเอาไว้ ว่าจับได้ขนาดใหนบ้าง แต่มันก็มีพวกคนทำประมง จ๊าดหง่าว บางคน ไม่ยอมทำตามกฏจับโดยไม่สนในเรื่องขนาด กุ้งตัวเล็กเกินไป ก็ยังจะเอา พวกนี้มันน่าจับมาราดนมข้นหวาน แล้วปล่อยให้มดแดงกัดไข่นุ้ยยิ่งนัก "อันหลังๆนี่ คุณ Asmus ไม่ได้กล่าว คนแปลเติมไปเองแหล่ะ (ฮา)
และ ยังมีคนทำประมงอีกบางคน ยืนยันว่า พวกเขาไม่ต้องการทำการจับกุ้ง Murray Crayfish เลย เนื่องจาก คิดว่ามันเป็นสัตว์โบราณที่มีคุณค่าต่อความทรงจำเช่น Mr.Knight ชาวประมง จาก NSW Fisheries ที่ให้ความเห็นนี้ " กุ้งเครย์ฟิช ชนิดนี้เป็นสิ่งที่พิเศษจริงๆ เมื่อคุณจับกุ้งเครย์ฟิชชนิดนี้ให้เด็กๆ ดู พวกเขา จะตื่นตา ตื่นใจ เป็นอย่างมาก ราวกับเห็นเรือดำน้ำมาโผล่ในอ่าวไทย จรวดลูกใหม่ อิมพอร์ตจากสหรัฐอเมริกา...เอ๊ย ไม่ใช่...เห็นของขวัญวันคริสต์มาส หรือ ของขวัญวันอีสเตอร์เลยทีเดียว ผมชอบบรรยากาศแบบนั้นมากครับ " Mr.Knight ได้กล่าวเอาไว้
คุณ Amus เสริมอีกว่า " กุ้งเครย์ฟิชชนิดนี้ อายุยืนมาก จากการบันทึกสถิติเอาไว้นี่ อายุยืนร่วม 30 - 35 ปีเลยทีเดียว เรียกได้ว่าถ้าคุณเป็นคนที่ยังไม่ได้มีอายุเข้าวัยผู้ใหญ่ คือ 30 กว่าๆ แล้วคุณกินกุ้งชนิดนี้เข้าไป นั่นก็คือ คุณได้กินสิ่งมีชีวิตที่ มีอายุมากกว่าคุณเข้าไปเสียอีก.... "
" บางอย่างที่คุณนึกว่ามันน่าจะยังมีอยู่....แต่ถ้าเราเผลอเรอไม่สนใจ จะดูแลมัน บางทีไอ้สิ่งที่เราคิดว่า มันยังมีอยู่ มันน่าจะมีอยู่หรือ มันยังคงอยู่อย่างแน่นอนนั้น... อาจจะไม่มีเหลืออยู่แล้วก็เป็นได้ " Mr. Amus กล่าวเอาไว้อย่างน่าคิด
" พูดถึงรสชาติแล้ว ผมก็ไม่เคยกินหรอกนะ ว่ากุ้งชนิดนี้มีรสชาติอย่างไร แต่สำหรับผมแล้ว กุ้งเครย์ฟิชชนิดนี้ นั้นน่าสนใจที่จะศึกษาเป็นอย่างยิ่ง และ ยิ่งคุณสนใจพวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งน่าเคารพต่อการมีอยู่ มากยิ่งขึ้นเท่านั้นน่ะแหล่ะ " ด็อกเตอร์ Nick Whiterod กล่าวสรุปปิดท้าย
เรียบเรียง & ใส่สีตีใข่ : กษิดิศ วรรณุรักษ์
เครดิต :
โฆษณา