6 ต.ค. 2020 เวลา 08:49 • การศึกษา
ตอนที่58 "เด็กGen Alpha คืออนาคตของโลกใบนี้"
🌟เตรียมลูกก่อน เข้าเรียนเตรียมอนุบาล โดยการ Home School ช่วงวิกฤติ Covid19 (ให้มีความพร้อมทางร่างกายและจิตใจก่อนไปโรงเรียนวันแรก) ได้อย่างไร?
วางแผนอนาคตให้กับเจ้าลูกชาย ว่าจะเรียนโรงเรียนที่ไหน? เรียนพิเศษเพิ่มทักษะอะไรดี?
ยิ่งต้องมาระดมสมองกับทุกคนในครอบครัวก็ยิ่งมึนหัวตึบๆ เพราะความคิดเห็นของคนรุ่นปู่ย่าตายายกับคนรุ่นพ่อแม่ ก็มีหลายอย่างที่คิดเห็นไม่ตรงกัน
ถกเถียงกันไปก็ยิ่งมีแต่เสียบรรยากาศภายในครอบครัว
ด้วยความรักที่ทุกๆคนมีให้กับฟีนิกซ์มากจนล้น
ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นตามประสบการณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่
เรื่องแผนการเรียนในอนาคตของฟีนิกซ์
ไม่มีใครยอมใคร พูดกันทั้งวันก็ยังหาข้อสรุปกันไม่จบไม่สิ้นแน่นอนครับ
สุดท้ายเราจึงต้องมาหาข้อมูลกันใหม่
อนาคตอีก 20 - 30ปีข้างหน้า....
พวกเราจินตนาการเห็นภาพกันหรือไม่?
ว่าโลกที่ลูกรักของเราจะต้องได้พบเจอจะเป็นอย่างไร?
งานจะมีลักษณะไหน? สังคมและชีวิตของคนยุคนั้น ในปี 2050 จะมีความเป็นอยู่อย่างไร? งงสิครับ คิดไม่ออกจริงๆ 😱
แต่ที่รู้แน่ๆก็คือประสบการณ์เก่าๆที่พวกเรามีกัน
อาจจะหมุนตามโลกใบนี้ไม่ทัน
เพราะเส้นแบ่งของยุคสมัยได้เริ่มขึ้นมาสักพักแล้ว
ยุคแห่งการปฏิวัติครั้งที่4 ปฏิวัติเทคโนโลยี
โดยมีตัวเร่งให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นโดย
"วิกฤตโรคระบาด Covid19"
ลูกรักต้องเตรียมตัวไปสู่โลกใบใหม่อย่างไร?
นี่คือโจทย์ที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องรับผิดชอบ
หาคำตอบเตรียมไว้ให้กับลูกๆครับ
👨🏫ผู้รู้ให้คำแนะนำ:
Gen Z และ Gen Alpha ถือเป็นเจนเนอร์เรชั่นที่อายุน้อยที่สุดในสังคมขณะนี้
ขณะที่ Gen Z กำลังเริ่มเรียนจบและเข้าสู่วัยทำงานตอนต้นกันแล้ว Gen Alpha รุ่นที่โตที่สุดนั้นก็ยังคงอยู่ในวัยเด็กอยู่ (อ้างอิงเวลาปัจจุบัน ณ ปี ค.ศ.2019)
แต่ถึงอย่างนั้นทุกฝ่ายต่างก็เริ่มทำความเข้าใจกับอนาคตของ Gen Alpha และเตรียมรับมือกันแล้ว เพราะนอกจากเด็กเหล่านี้ก็คือผู้ใหญ่ในอนาคตแล้วนั้น พวกเขาเหล่านี้ก็คือตลาดแรงงานในอนาคตด้วยเช่นกัน
🧒 งานจำนวนมากบนโลกกำลังถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI และการเปลี่ยนแปลง (disruption) จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เด็กGen Alpha จะพบว่า....
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่างานตลอดชีวิตอีกแล้ว
พวกเขาจะเปลี่ยนงานหลายรอบ ฝึกอบรมใหม่หลายรอบ จิตใจจะต้องแกร่งพอที่จะรับการเปลี่ยนแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งชีวิต
🧒 เด็กGen Alpha อาจจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองให้แก่อัลกอริทึมที่เกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอ เช่น google
face book รู้ว่าเราชอบดูเพจไหน ทั้งที่เราไม่เคยกดlike หรือ coment หรือกดติดตามเลย เป็นต้น
🧒ทักษะที่ เด็กGen Alpha ต้องมีคือ ความสามารถในการค้นหาข้อมูลและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
ความสามรถนี้ใช้ได้กับทุกๆเรื่องในชีวิต
เช่น ข้อมูลด้านสุขภาพ ที่มีอัลกอริทึมเขียนผลการตรวจลงรายละเอียดมากขึ้น ด้วยการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมและข้อมูลส่วนบุคคลที่มีอยู่
อนาคตจะไม่มีใครที่มีร่างกายเป็นปกติ100%อีกเลย
จะตรวจพบข้อบกพร่องของร่างกายกันทุกคนถ้วนหน้า
🧒 เด็กGen Alpha ทุกคนบนโลกจะมีร่องรอยในอินเทอร์เน็ต
เราทุกคนยินดีเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้น
เพื่อแลกกับบริการที่มากขึ้นและดีขึ้น
เพื่อเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อไป
🧒 สมองคนรุ่นปู่ย่าตายาย ใช้อ่านและเขียน
สมองของคนรุ่นพ่อแม่ ใช้สแกนและคีย์
เด็กGen Alpha สมองของพวกเขาใช้แตะและพูด
world wide web เปลี่ยนรูปร่างไปตามเวลาที่เปลี่ยนไปหรือที่แท้สมองของคนเราก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
🧒 เรียนจบ ทำงานประจำนาน 40ปี
มีบ้านสักหลัง เกษียณอย่างมีสุข จะไม่มีอีกแล้ว
เด็กGen Alpha จะเปลี่ยนงานทุกๆ 3-7 ปี คือค่าเฉลี่ยที่เขาถึงจุดอิ่มตัว ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือทักษะที่จำเป็นต่องานนั้น
เขาจะถูกเปลี่ยนออกจากงานหรือเปลี่ยนงานตัวเอง
ทัศนคติประเภทอดทนทำงานที่ไม่ชอบจะลดลง เพราะจะไม่มีใครทน
เด็กGen Alpha.ทำงานที่ชอบเท่านั้น ชีวิตและงานเป็นหนึ่งเดียวเสมอ
ไม่ใช่เรื่องการรักษาสมดุล work life balance แบบคนรุ่นก่อนๆ แต่จะเป็นแนวคิดแบบ Work-Life Integration อีกอย่างก็คือ เน้นที่ผลงาน มากกว่าเวลาตอกบัตรเข้างาน
🧒 ในอนาคต เด็กGen Alpha จะไม่มีงานเดียวอาชีพเดียว เด็กจะพบว่าตนเองจำเป็นต้องมีหลายเป้าหมาย
ดังนั้นการสับเปลี่ยนงานกลับไปมา(multitasking)
โดยไม่สูญเสียสมาธิต่อแต่ละงานจะเป็นเรื่องที่ทวีความสำคัญอย่างยิ่ง
🧒 หุ่นยนต์และ AI จะช่วยให้มนุษย์ทำงานน้อยลง
ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น มีเวลาเหลือมากขึ้น
แต่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะมีทักษะการทำงานร่วมกับ หุ่นยนต์และ AI ได้ดี
เงินค่าจ้างมากจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเด็กGen Alpha จะมีงานเหลือให้ทำหรือไม่และจะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์และ AI ได้อย่างไรจะสำคัญมากกว่า
เด็กGen Alpha อาจเลือกงานได้ไม่มากนักถึงแม้จะไม่ได้ชอบงานนั้นสักเท่าไรนักก็ตาม
ซึ่งเราไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเด็กGen Alphaจะถูกเปลี่ยนงานทุกๆ 7ปีอยู่แล้ว
🧒 เด็กGen Alpha ที่มีจิตใจดีกว่า เห็นแก่สังคมมากกว่า มีแนวโน้มจะหางานได้ดีกว่า
empathy คือความสามารถในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
❤การแก้ปัญหาโดยการดูแลอบรมสั่งสอนลูก เพื่อเตรียมตัวก้าวสู่อนาคตในวันข้างหน้า
1. อนาคตไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเผชิญ แต่เป็นเรื่องที่พวกเราต้องสร้าง
เพราะเราคือ "ผู้สร้างอนาคต" ไม่ใช่ผู้ยอมจำนน
2. หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ AI ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
เราเพียงต้องปรับตัวพัฒนาความสามารถทำงานกับเครื่องจักรสมัยใหม่ เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ทำงานแบบแรงงานไร้ฝีมือ
3. ทุกครั้งที่มีหุ่นยนต์ทำงานชิ้นใหม่ จะต้องมีงานงอกให้มนุษย์ทำ เพื่อประคับประคองสนับสนุน หรือบำรุงรักษางานชิ้นเดิมเสมอ
ที่สำคัญคือ เราไม่ควรรองาน แต่ เราต้อง "สร้าง"งานเองให้เป็น
4.ฝึกให้ลูกคิดเชิงวิพากษ์ (Critical thinking)
เป็นทักษะสำคัญมากในศตวรรษที่21
คือไม่เชื่อเพียงเพราะมีใครพูดให้ฟังหรือตำราเขียน
มุ่งหวังให้ลูกรักแก้ปัญหาเป็น ไม่ใช่ท่องปัญหาหรือท่องคำตอบเฉลยที่มีอยู่แล้ว
5. ฝึกฝน Executive function (EF) ซึ่งเป็นทักษะความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมอารมณ์และการกระทำให้ไปถึงเป้าหมาย
*EF ประกอบด้วย 3ส่วน คือ....
5.1 ควบคุมตนเอง (self control)
5.2 ความจำใช้งาน (working memory)
5.3 ความคิดยืดหยุ่น (cognitive flexibility)
6. พัฒนาความสามารถในการควบคุมอารมณ์ EQ (Emotional quotient) โดยการทำกิจกรรมต่างๆ
"ศิลปะ ดนตรี กีฬา" คือกิจกรรมที่สำคัญมากที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ลูกอยู่ในวัยอนุบาล
เวลาลูกตั้งใจ focus กิจกรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาการควบคุมตนเอง (Self control) และพัฒนาความสามารถในการหยุดพฤติกรรมหนึ่งไปยังอีกพฤติกรรมหนึ่ง (inhibitory control)
7. การพัฒนาลูกรักให้รับรู้ว่างานที่ลงมือทำ มีเป้าหมายที่วางไว้ มีความหมายแก่ตนเองได้นั้น
*ลูกรักต้องมีการพัฒนาทักษะบางอย่างมาก่อนคือ....
7.1 ความสามารถในการเปลี่ยนมุมมองให้หลากหลาย
7.2 ความสามารถในการจัดกลุ่มของข้อมูลต่างๆ
7.3 ความสามารถในมองปัญหาให้เป็นเหตุและผล
8. ทักษะข้อสุดท้ายที่มีความจำเป็นในการเอาตัวรอดในโลกอนาคตของลูกรักก็คือ....
engagement พันธะสัญญาว่าจะกระทำสิ่งนั้นอย่างแน่นอน ไม่คืนคำ ไม่บิดพลิ้ว ไม่หยุดยั้งจนกว่าจะทำสำเร็จ 🥇🏆
*ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :
⚡https://th.hrnote.asia/tips/190805-generation-alpha/
⚡หนังสือ "100บทเรียนเลี้ยงลูกเจนอัลฟ่า"
ชื่อผู้แต่ง : นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
👨คุณพ่อขอเล่า :
ฟีนิกซ์เป็นเด็กที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวค่อนข้างไว
ชอบทดลองปฏิบัติทำอะไรใหม่ๆด้วยตนเอง
ลูกรักมักจะทำกิจกรรมต่างๆด้วยความสนุกสนานร่าเริงอยู่เสมอ
ก็ไม่รู้ไปเอาพลังงานและความบ้าพลังจากไหนมา
ถ้าไม่เหนื่อยจนเผลอหลับไปซะก่อน ฟีนิกซ์จะเล่นและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่สุดๆในทุกๆวัน
แต่ตัวผมก็ยังมีความกังวลเรื่องระบบการศึกษาของประเทศไทย
ไม่รู้ว่าหลักสูตรการศึกษาในปัจจุบันจะมีความเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด
ตัวผมเองก็ไม่ค่อยมีความสุขมากนักกับการเรียนหนังสือที่โรงเรียนในวัยเด็ก ทั้งชั้นประถม มัธยม
ที่เหมือนโดนสร้างกรอบความคิด
ให้นักเรียนทุกๆคนต้องคิดเหมือนๆกัน
เป็นระบบที่แช่แข็งสมองเด็กไทยด้วยการสอน ท่อง ติว และบังคับให้สอบแบบปรนัยให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว
ห้ามเปลี่ยนมุมมองหรือมีข้อขัดแย้งกับคำตอบที่คุณครูได้วางไว้ให้ ต้องคิดและตอบให้ตรงตามเฉลยเท่านั้น
ไม่ได้รับโอกาสอภิปรายแสดงความคิดเห็น
การทำงานกลุ่มก็เป็นการบังคับให้ทำงานร่วมกัน
ไม่ได้ให้อิสระเด็กในการรวมกลุ่มเพื่อร่วมใจพัฒนาไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
สังคมไทยเลยผลิตแต่ผู้ใหญ่ที่ถนัดกับการถกเถียงแบบเอาแต่พูดเพียงฝ่ายเดียว
โดยที่ไม่รู้จักเปิดหูรับฟังที่คนอื่นพูด
และไม่พร้อมที่จะเปิดใจยอมรับผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากตนเองเลย
การศึกษาในศตวรรษที่21นั้น
ตัวเด็กจะมีความเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้
เป็นผู้ที่เลือกว่าจะเรียนและทำงานอะไรได้ด้วยตนเอง
ผมกับภรรยาจึงให้อิสระกับลูกรักได้ทดลองทำอะไรหลายๆอย่างตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ผิดพลาดบ้างก็ไม่เป็นไร พร้อมที่จะให้ลูกรักเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
เมื่อเติบใหญ่ ลูกจะได้นำประสบการณ์ที่ได้ทดลองลงมือทำด้วยตนเอง มาช่วยเป็นแนวทางเลือกเส้นทางเดินชีวิตของตนเองต่อไป
พ่อกับแม่คงไม่มีเงินทองหรือทรัพย์สมบัติมากองให้
สิ่งที่พอจะให้ได้ก็คือความรักและความเอาใจใส่ที่จะมีให้กับลูกๆเสมอ
อนาคตในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ได้
ด้วยความห่วงใยและต้องการให้ลูกรักอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย
ทักษะต่างๆที่จำเป็นนั้น ลูกรักควรได้รับการฝึกฝนตนเองตั้งแต่วันนี้
เพื่อเอาตัวรอดในโลกอนาคตที่สับสนวุ่นวายที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆมากมายอย่างมีความสุขครับ 👨👩👦👦❤
ช่องทางติดตามดูคลิปวีดีโอเพิ่มเติมทางเพจ FB. " Daddy Survivor "
ขอกำลังใจ ฝากติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ 😀👪❤

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา