13 พ.ค. 2020 เวลา 09:00 • กีฬา
เหตุใดที่รุด ฟาน นิสเตลรอย โดนดรอป?
หากมีการจัดอับดับกองหน้าที่ยิงประตูได้เฉียบขาดที่สุดในยุทธภพลูกหนัง เชื่อว่ารุด ฟาน นิสเตลรอย คงเป็นหนึ่งในท็อปลิสต์ของใครหลายคน จากสถิติตลอดการเล่นอาชีพในระดับสโมสร เขาลงเล่น 541 นัด ใส่สกอร์ได้ทั้งสิ้น 333 ประตู คิดเป็น 0.62 ประตู ต่อหนึ่งนัด ถือเป็นสถิติที่โดดเด่นไม่ใช่น้อย หากไม่นับสองมนุษย์ต่างดาวในยุคปัจจุบันอย่างลิโอเนล เมลซี่ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้
ยิ่งในช่วงพีคของพี่ม้าด้วยแล้ว หากได้ง้างเท้าในกรอบเขตโทษก็แทบจะการันตีได้ว่าสกอร์บอร์ดคงได้เพิ่มตัวเลขเป็นแน่ หากพี่ม้าไม่เจ็บไข้ ฟิตพร้อมสมบูรณ์ก็แทบจะการันตีตัวจริงได้ตลอด เขามักจะได้รับบทบาทเป็นกองหน้าตัวความหวังของทีมและมักจะทำให้แฟน ๆ ได้สมหวังเสมอ จากความเฉียบคมในการส่งบอลไปกองอยู่ก้นตาข่ายทีมคู่แข่งได้บ่อยครั้ง
แต่เหตุใดจอมคนเลือดสก็อต เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถึงดรอปพี่ม้าให้เป็นเพียงตัวสำรอง ทั้งที่เขาฟิตเต็มถัง และนี้ถือเป็นรอยแยกที่สำคัญที่ทำให้พี่ม้าต้องบอกลาโรงละครแห่งความฝันในที่สุด
--- นำเข้ากองหน้า หน้าม้า ---
“ตอนนี้เป็นเวลาที่ยูไนเต็ดจะซื้อ” เฟอร์กี้กล่าวหลังจากที่ใช้กองหน้าชุดเดิมตั้งแต่ปีที่กวาดสามแชมป์
19 ล้านปอนด์ คือ ค่าตัวระดับสถิติของเกาะอังกฤษ ที่หน้าร้อนปี 2001 ผีแดงทุบคลังโอนให้พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น เพื่อเป็นสินสอดของพี่ม้า ทั้งที่ความเป็นจริงดีลนี้น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เพราะอาการบาดเจ็บของพี่ม้าทำให้การซื้อขายต้องเลื่อนออกไป
“เราติดตามอาการของเขาตลอดในช่วงที่เขาพักฟื้นและผมดีใจมากที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี”
“มันต้องจ่ายในราคาสูงเสมอสำหรับตำแหน่งกองหน้า แต่ถ้าคุณได้นักเตะระดับท็อปคลาสที่อายุ 24 ปี มันก็คุ้มค่า” เฟอร์กูสันกล่าวอย่างมั่นใจ
แม้ในปีนั้นยูไนเต็ดจะมีกองหน้าในทีมชุดใหญ่ถึง 5 คน (โคล โซลชา ฟอร์ลัน ยอร์ค และรุด) แต่ฟาน นิสเตลรอย ก็สามารถขึ้นแท่นเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งของสโมสรได้ทันที เขายิง 10 ประตู พร้อมคว้ารางวัลดาวซัลโวของรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ได้ตั้งแต่ปีแรกที่สวมเสื้อปีศาจแดง
ปีถัดมาเขาตะบัดไป 25 ประตูในพรีเมียร์ หนึ่งในนั้นเป็นประตูที่พี่ม้าโซโล่เดี่ยวตั้งแต่กลางสนาม เลี้ยงหลบผู้เล่นทีมฟูแล่ม 5 คน ก่อนจะยิงผ่านมือไมค์ เทย์เลอร์ ผู้รักษาประตูทีมเจ้าสัวน้อยเข้าไปอย่างงามหยด พร้อมด้วย 12 ประตูในยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ส่งให้เขาคว้าดาวซัลโวสูงสุดทั้ง 2 รายการ
ในฤดูกาล 2003-2004 พี่ม้าสร้างสถิติยิงประตูติดต่อกัน 10 แมทช์ในพรีเมียร์ลีก คว้ารองดาวซัลโวของลีกและยิงสองประตูช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ
ปี 2004-2005 แม้เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ก็ยังซัดไป 8 ประตู จากการลงสนาม 7 นัดในยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก โดยเป็นการยิง 4 ประตู ในเกมส์ที่แมนฯยูเปิดบ้านถล่มสปาร์ต้า ปราก 4 ต่อ 1 และคว้ารางวัลดาวซัลโวของรายการเป็นครั้งที่ 3 ใน 4 ปีล่าสุด
เหมือนฟาน นิสเตลรอย จะเกิดมาเพื่อล่าตาข่ายทีมคู่แข่งอย่างแท้จริง เขามีแพชชั่นอย่างแรงกล้าในการทำประตู ครั้งหนึ่งริโอ เฟอร์ดินาน ได้พูดถึงพี่ม้าในวันที่ยูไนเต็ดเพิ่งคว้าชัยชนะในเกมส์ลีก
“ในบางเกมส์ที่เราเพิ่งชนะมา 3-1 หรือ 4-1 รุดยิงได้หนึ่งประตู”
“เมื่อเขาเข้ามาในห้องแต่งตัว เขาเปิดทีวี สายหัวแล้วทำหน้าเซ็ง ๆ”
“เขานั่งลง ผมเลยถามเขาว่า เฮ้ รุด นายเป็นอะไรรึเปล่า”
“เขาตอบว่า ไม่ ไม่มีอะไร”
“ปรากฏว่าในวันนั้น เขายิงได้หนึ่งประตู แต่อองรียิงได้สอง เขาโคตรผิดหวังเลย”
แต่เหมือนการทำประตูอย่างเดียวจะไม่สามารถเต็มเติมจิตใจเขาได้ พี่ม้าได้แสดงออกถึงความทะเยอทะยานที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
“สำหรับผมหมายเลข 10 เป็นเหมือนศิลปะ”
“แกร์ด มุลเลอร์ (ดาวยิงในตำนานชาวเยอรมัน) แม้เขาจะยิงประตูได้เยอะ แต่ผมไม่ชอบแบบนั้น”
“ผมอยากจะเล่นให้ได้ทั้งหมายเลข 9 และ 10 ผมพยายามที่จะเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบ”
--- Fergie’s standard ---
ต่อมาในฤดูกาล 2005-2006 ฟาน นิสเตลรอย สามารถยิงประตูจากนอกกรอบเขตโทษได้เป็นลูกแรกนับตั้งแต่ย้ายมาสวมยูนิฟอร์มปีศาจแดงในเกมส์ที่ออกไปเยือนชาร์ลตัน แอธเลติก ในเดือนพฤศจิกายน 2005 ด้วยฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ ยิงประตูได้ต่อเนื่อง ทำให้เขาเป็นหัวใจในแดนหน้าของทีม จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2006 ในเกมส์เอฟเอ คัพ รอบห้า (16 ทีมสุดท้าย) ที่แมนฯยูไนเต็ดต้องออกไปเยือนแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูลที่ขณะนั้นมีราฟาเอล เบนิเตส นั่งแทนกุนซือ
ก่อนเกมส์จะเริ่มขึ้น ยูไนเต็ดไม่แพ้ลิเวอร์พูลมา 4 นัดติดต่อกัน เป็นการชนะ 3 เสมอ 1 โดยที่หงส์แดงเจาะตาข่ายทีมผีแดงได้เพียงลูกเดียวเท่านั้น แต่ถ้านับเฉพาะในรายการเอฟเอ คัพ ตั้งแต่ทศวรรตที่ 1980 หากผีแดงปะทะหงส์แดงในรอบใดก็แล้วแต่ ผู้ชนะจะได้ครองถ้วยเอฟเอ คัพ ในปีนั้น ซึ่งที่ผ่านมายูไนเต็ดกวาดเรียบ อีกทั้งตลอด 85 ปีที่ผ่านมา ผีแดงไม่แพ้ลิเวอร์พูลเลยในบอลถ้วยรายการนี้
แน่นอนว่าเซอร์อเล็กซ์ฯต้องการรักษาสถิติที่สวยหรูให้คงอยู่ต่อไป พร้อมจัดทัพชุดใหญ่เต็มสูบ ถึงแม้จะเป็นรายการบอลถ้วยก็ตาม นำโดยรุด ฟาน นิสเตลรอย ยืนค้ำในแดนหน้า ขนาบข้างด้วยไอหนูเวย์น รูนี่ย์ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้
แต่หลังเสียงนกหวีดดังขึ้นเพียง 19 นาที เจ้าถิ่นออกนำไปก่อนจากลูกโหม่งของกองหน้าร่างโย่ง ปีเตอร์ เคราช์ และรักษาสกอร์นี้ได้จนจบครึ่งแรก เซอร์อเล็กซ์ฯ ไม่รอช้าส่งกองหน้าอย่างหลุยส์ ซาฮา ลงแทนกองหลังมนุษย์หิน มิเกล ซิลแวสตร์ พร้อมเดินหน้าทวงประตูคืนเต็มที่ แต่ไม่เป็นผล สุดท้ายลิเวอร์พูลเข้าป้ายเอาชนะไปได้ในท้ายที่สุด
เฟอร์กี้หัวเสียเอามาก ๆ หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาวจบเกมส์ แต่ก็ไม่ได้ตำหนิใครเป็นพิเศษ
“คุณต้องการโชคในการแข่งขันบอลถ้วย แต่วันนี้เราไม่มี”
“85 ปีที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถเอาชนะเราได้ ผมหวังว่าสถิตินี้มันจะอยู่ต่อไปอีก 85 ปี แต่มันไม่เกิดขึ้น”
“เราเริ่มเกมส์ได้ไม่ดี แต่พวกเขาเล่นดีแค่ 5 นาทีและชนะเกมส์นี้”
ความพ่ายแพ้ในเกมส์นี้ไม่เพียงแต่รุดมีฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยดีเท่านั้น เขายังแสดงให้เห็นถึงความกระหายที่จะเอาชนะในระดับที่ไม่มากพอ เขาทำงานในสนามไม่หนักพอ เขาไปไม่ถึงมาตรฐานของเฟอร์กี้ที่ต้องสู้จนหยดสุดท้าย ยอมพลีกายถวายชีวิตในสนามแข่ง นั้นทำให้เฟอร์กี้ต้องคิดหนักสำหรับการจัดทัพในสัปดาห์หน้า ที่แมนฯยูฯจะได้เล่นนัดชิงชนะเลิศกับวีแกน ในฟุตบอลลีกคัพ
แม้จะเป็นเพียงรอบชิงถ้วยมิกกี้เม้าส์ที่ปกติทีมใหญ่จะส่งตัวสำรองลงยืดเส้นยืดสายหรือส่งเยาวชนได้ลงเล่นเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ยูไนเต็ดจบฤดูกาลมือเปล่าในปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าผิดวิสัยสำหรับผีแดงในยุคของเฟอร์กี้ รอบชิงครั้งนี้ท่านเซอร์เลยตั้งใจจะคว้าแชมป์มาประดับตู้โชว์ให้จงได้
นักเตะ 11 คนที่ดีที่สุดของแต่ละทีมถูกเลือกส่งลงสนาม แต่ครั้งนี้เฟอร์กี้ตัดสินใจเซอร์ไพรส์แฟนบอลด้วยการให้รุด ฟาน นิสเตลรอย สแตนบายบนม้านั่งสำรองพร้อมส่งหลุยส์ ซาฮา ลงสนามเป็นตัวจริง พี่ม้าดูจะหัวเสียกับการตัดสินใจครั้งนี้เล็กน้อย เขาอยากลงเล่น อยากมีส่วนร่วมกับเกมส์ วิ่งล่าตะข่ายและชูถ้วยแชมป์พร้อมร่างกายที่ชุ่มเหงื่อ
แต่เขาก็ยังมีโอกาสที่จะได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรอง เพราะเมื่อมองไปบนม้านั่งสำรองมีทิม ฮาเวิร์ด เป็นโกล เอฟร่ากับวิดิชเป็นแผงหลังเด็กใหม่ คีแรน ริชาร์ดสัน เป็นปีก และเขา ดูแล้วยังไงรุดก็ดูจะมีภาษีในแนวรุกมากที่สุด ในสมัยนั้นแต่ละทีมจะมีตัวสำรองเพียง 5 คน
--- ทีมสปิริตต้องมาก่อน ---
โควตาเปลี่ยนตัวคนแรกเป็นของคีแรนที่ลงไปแทน CR7 ในนาทีที่ 73 แต่ตอนนั้นสกอร์ขาดไปแล้ว ผีแดงนำอยู่ 4 ต่อ 0 อย่าว่าแต่บรมกุนซืออย่างเฟอร์กี้ แค่สามัญชนอย่างเราก็ดูออกว่าเกมส์รุกไม่ใช่ปัญหาในเกมส์นี้
ท่านเซอร์ตัดสินใจตรงไปหารุด “ฉันจะส่งวิดิชและเอฟร่า สองเด็กใหม่ลงสัมผัสเกมส์ พวกเขาน่าจะได้รู้ถึงบรรยากาศของชัยชนะร่วมกันกับยูไนเต็ด”
“ยู (you) …….” พี่ม้าพูดอะไรบางอย่าง
คาร์ลอส กีรอส เข้ามาหาพี่ม้า และเหตุการณ์มีทีท่าจะบานปลาย จนเพื่อนร่วมทีมคนอื่นต้องเข้ามาปรามพี่ม้าให้ใจเย็นลง
ฟาน นิสเตลรอย น็อตหลุดกับการพลาดโอกาสลงเล่นในแมทช์นี้ เขาเริ่มสบทคำหยาบ พูดจาก้าวร้าวและด่าทอเซอร์อเล็กซ์ “ไอหมูเลือดสก็อต” เป็นคำที่ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเขาพูดบนม้านั่งสำรอง
“ตอนนั้นผมโกรธอย่างหน้ามืดตามัว ผมตะโกนใส่เขา (เฟอร์กี้)”
“ผมพูดถึงเขาหลายสิ่งตอนผมโกรธ”
หลังเกมส์จบลง เฟอร์กี้อธิบายถึงเหตุผลในการเลือกหลุยส์เป็นตัวจริง
“หลุยส์สมควรได้ลงเล่น เขายิงห้าประตูในรายการนี้ (ยิงทุกเกมส์)”
“ตั้งแต่เขากลับมาฟิตสมบูรณ์ เขายิงได้ 10 ประตู จาก 13 เกมส์ เขาสมควรได้รับเครดิต”
“รุดดูเหมือนจะโอเคในห้องแต่งตัวก่อนเริ่มเกมส์นะ และเขาก็โอเคกับทุกคนในทีม” เฟอร์กี้ทิ้งท้าย
แต่เหมือนพี่ม้าจะรับไม่ได้กลับเหตุผลนั้น เขาคิดว่าผลงานการถล่มประตูของเขานั้นสุดยอด เขาควรได้รับเลือกให้เป็นตัวจริง
“ผมไม่มีปัญหากับใครทั้งนั้น ผมยิงประตูได้มากมายและผมก็ทำผลงานได้ดี”
“ผมหวังว่าจะกลับมาเป็นตัวจริงในเกมส์หน้า ผมอยากลงเล่นในเกมส์พรีเมียร์ชีพ”
แต่จากพฤติกรรมที่น่าผิดหวัง เขาถูกดรอปเป็นตัวสำรองทันที 4 เกมส์ติด ตลอดทั้ง 4 เกมส์ หลุยส์ ซาฮา ก้าวขึ้นมาประจำการแทนร่วมถล่มประตูกับหมูรูนและโรนัลโด้ พายูไนเต็ดเก็บชนะรวด โดยยิงได้ 9 ประตู เสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น จากนั้นพี่ม้ากลับมาเป็นตัวจริงและยิงประตูชัยได้ในเกมส์ที่ 5 ที่พบกับเวสต์แฮม และเขาถูกดรอปไปเป็นสำรองอีกครั้งในเกมส์ที่ออกไปเยือนโบลตัน เท่ากับว่า 6 นัดหลังสุด รุดได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเพียงเกมส์เดียวเท่านั้น
จากนั้นท่านเซอร์ก็จับกองหน้าทั้งสามคน รุด หมูรูน และซาฮา สลับกันลงเล่นในตำแหน่งคู่หน้าในช่วงปลายซีซั่น จนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่ยูไนเต็ดเปิดบ้านรับการมาเยือนของชาร์ลตัน แอธเลติก ก่อนเกมส์จะมาถึงรูนี่ย์ได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถลงเล่นได้แน่นอน นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่ารุดจะได้จับคู่กับซาฮาลงล่าตาข่ายในนัดปิดฤดูกาล และพี่ม้าเองก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น
แต่เหมือนเรื่องเซอร์ไพรส์จะเกิดขึ้นอีกครั้ง พี่ม้าไม่มีชื่อลงสนามเป็น 11 ตัวจริง กลายเป็นเจ้าหนูชาวอิตาเลี่ยน จูเซปเป้ รอสซี่ ได้รับโอกาสลงเล่นแทน และที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้น คือ พี่ม้าไม่มีชื่อแม้กระทั่งบนม้านั่งสำรอง เรียกได้ว่าหายตัวไปสะเฉย ๆ ทั้งที่ไม่มีข่าวอาการบาดเจ็บอะไรใด ๆ
ข่าวลือเรื่องการแตกหักของรุดกับสโมสรเริ่มหนาหูมากขึ้นเรื่อย ๆ มีรายงานว่า รุดทะเลาะกับซีอาร์ 7 (ร่างวัยหนุ่ม) ในสนามซ้อม เขาไม่พอใจที่โรนัลโด้เอาแต่ครองบอล สับไปสับมา ไม่ยอมส่งบอลให้คนอื่น ไม่เหมือนกับเบ็คแฮมที่คอยกดคอมโบแอสซิสต์งาม ๆ ให้พี่ม้าได้หลายต่อหลายลูก
บวกกับรอย คีน ลูกพี่ใหญ่ของเฮียรุด ก็ไม่ค่อยลงรอยกับคาร์ลอส กีรอส ผู้อาวุโสแห่งกลุ่มนักเตะชาวโปรตุกีส อยู่แล้วเป็นทุนเดิม ทำให้จุดเดือดของพี่ม้าดูจะต่ำเป็นพิเศษ
พี่ม้าเริ่มมีปากเสียงกับโรนัลโด้ “ไปร้องไห้กับพ่อของแกไป (หมายถึงคาร์ลอส กีรอส โค้ชคนบ้านเดียวกันกับ CR7)”
สิ้นประโยคนั้น โรนัลโด้ถึงกลับกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะเขาเพิ่งเสียพ่อแท้ ๆ ไปเมื่อแปดเดือนที่แล้ว
อนาคตของฟาน นิสเตลรอยในถิ่นโรงละครแห่งความฝันดับวูบลง เซอร์อเล็กซ์ฯ ลงดาบอย่างเด็ดขาด เขาไล่รุดให้กลับบ้านไปในทันที
“มีเหตุการณ์ที่น่ากังวลเกี่ยวกับทีมสปิริตเกิดขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์นี้”
“ผมรู้สึกว่า รุดควรออกไป นั้นเป็นทั้งหมดที่ผมต้องการจะบอกตอนนี้”
“เราจะพูดคุยกันกับทีมบริหารในวันพรุ้งนี้และวันอังคาร” เฟอร์กี้กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น โดยไม่เปิดเผยรายละเอียด
ซัมเมอร์นั้น รุดถูกขายไปให้กับรีล มาดริด ในราคาเพียง 10.8 ล้านปอนด์ จบเส้นทางการค้าแข้งบนเกาะอังกฤษไว้ที่ 5 ฤดูกาล รับใช้สโมสรทั้งสิ้น 219 แมทช์ ทำได้ 150 ประตูรวมทุกรายการ
เฟอร์กี้ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังถึงประเด็นดังกล่าว
“รุดมักจะบ่นเรื่องโรนัลโด้กับกีรอสเสมอ ตอนนั้นโรนัลโด้ยังขาดประสบการณ์ ยังเล่นได้ไม่มีประสิทธิภาพนัก”
“เขามักจะบ่นแกรี่ เนวิลล์ และดาวิด เบลลิยง เช่นกัน”
“เขาเชื่อว่ายูไนเต็ดไม่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกได้ด้วยเด็กอย่างรูนี่ย์และโรนัลโด้”
ในมุมของริโอ เฟอร์ดินาน ตำนานกองหลังของยูไนเต็ดและเพื่อนร่วมทีมของรุด
“ผมเชื่อว่าบอสมีแผนในการจัดการ เขา (เฟอร์กี้) ต้องการสร้างทีมโดยมีผม รูนี่ย์ โรนัลโด้ และผู้เล่นอีกบางคนเป็นศูนย์กลางของทีม”
“ผมคิดว่ารุดถูกมองข้ามไป เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้รูนี่ย์และโรนัลโด้ได้ฉายแสง โดยไม่มีความกดดันจากคนอย่างรุด เพราะเค้าดูมีอิทธิพลในห้องแต่งตัว”
“บอสต้องการให้เขา (รุด) ออกไป”
ฟาน นิสเตลรอย รู้สึกไม่สบายใจที่การจากลาของเขากับยูไนเต็ดจบแบบไม่สวยนัก เขาต้องทำบางอย่างเพื่อล้างตราบาปในใจ
“ผมคิดถึงเหตุการณ์นั้นเสมอและผมก็ได้ระบายมันกับภรรยาของผม”
“ทุก ๆ ปีผมจะคิดถึงเรื่องราวนั้นสองถึงสามครั้ง ผมละอายใจที่ทำกับเซอร์อเล็กซ์แบบนั้น”
“ภรรยาผมบอกให้ผมส่งข้อความเขา (เฟอร์กี้)”
คืนหนึ่งในเดือนมกราคม 2010 ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย โทรศัพท์ของเฟอร์กี้ได้รับ SMS แปลก ๆ
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณจำผมได้รึป่าว แต่ผมอยากให้โทรหาคุณ จากรุด ฟาน นิสเตลรอย” ข้อความจาก SMS
“OK” เซอร์อเล็กซ์ฯ ตอบกลับ
พี่ม้าโทรหาท่านเซอร์ฯทันที บทสนทนาเริ่มต้นจากการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ จากนั้นเขาก็เริ่มเข้าประเด็น
“ผมขอโทษกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นที่ปีสุดท้ายของผมที่ยูไนเต็ด ผมผิดเอง ผมเสียใจ”
“เขาให้อภัยผม และบอกว่าเมื่อเราเจอกันทุกอย่างมันจะเป็นปกติ เขาดีใจที่ผมโทรไป”
แม้ว่ารุด ฟาน นิสเตลรอย จะถอดยูนิฟอร์มของผีแดงแบบไม่สวยนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีสถิติการทำประตูที่สะเด่าที่สุดของยูไนเต็ด นับตั้งแต่หมดยุคของเดนิส ลอว์ 0.68 ประตูต่อเกมส์ เป็นสถิติการทำประตูต่อเกมส์ที่สูงที่สุดตลอดกาลของสโมสร แต่ก็น่าแปลกที่มีเพียง 1 ประตูเท่านั้นที่เขาตะบันจากนอกกรอบเขตโทษ ส่วนอีก 149 ประตู เกิดขึ้นในกรอบเขตโทษทั้งสิ้น ถือเป็นเพชรฆาตในกรอบ 18 หลา ระดับท็อปของยุโรป
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดเขาก็ยืดอกยอมรับความจริง หาทางที่จะลบรอยแผลด้วยวิถีแห่งลูกผู้ชาย เขาแสดงความกล้าที่จะกล่าวขอโทษและยอมรับผิดในสิ่งที่เขาได้ทำพลาดไป รอยแผลในใจถูกสมานเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นบาง ๆ ที่จะจางหายไปในวันหนึ่ง และตำนานการระเบิดประตูของเขาจะถูกเล่าขานไปอีกนาน
ถ้าชอบเรื่องเล่านี้ Comment มาคุยกันครับ อย่าลืมกด Like กด Share เป็นกำลังใจสำหรับเรื่องเล่าเรื่องต่อไปด้วยนะครับ
- หวังว่าจะมีความสุขกับการอ่านนะครับ -
โฆษณา