13 พ.ค. 2020 เวลา 08:43 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
โปรแกรม Photoshop เปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร
การตัดต่อรูปภาพในห้องมืด (Darkroom manipulation) เป็นวิธีการตัดต่อรูปภาพที่คนในสมัยก่อนนิยมใช้ ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วย Photoshopในปัจจุบัน
ก่อนที่โปรแกรม Photoshop จะถือกำเนิดขึ้นมา การทำงานที่เกี่ยวข้องกับกราฟิก ไม่ว่าจะเป็น การตัดต่อภาพหรือวิดีโอใด ๆก็ตาม ล้วนเป็นงานที่มีขั้นตอนในการสร้างสรรค์ที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และวุ่นวายเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเตรียมอุปกรณ์จำนวนมากมายแถมยังต้องอาศัยฝีมือในการสร้างเป็นอย่างมากเช่นกัน เพราะงานทุกชิ้นล้วนถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือ โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย ถ้าทำผิดหมายถึงจะต้องเริ่มทำใหม่ทั้งหมด ทำให้การทำงานกราฟิกเป็นงานที่นิยมในแค่เพียงกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
Mariner 4 (1964) ยานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ถ่ายรูปดาวอังคาร
ถึงแม้จะมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานกราฟิกมาบ้างแล้วก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น องค์การนาซ่า (NASA) ใช้คอมพิวเตอร์วาดภาพดาวอังคารซึ่งถูกถ่ายมาจากยานอวกาศ Mariner 4 เมื่อปี1965 (พ.ศ.2508) และส่งมาเป็นโค้ดให้คอมพิวเตอร์ของนาซ่าถอดรหัสและวาดออกมาเป็นภาพ
ภาพดาวอังคารที่ถูก computer วาดขึ้นจาก Code ที่ถูกส่งมาจากยาน Mariner 4
ภาพมุมมองของตัวเอกของเรื่อง Westworld (1973) ที่มองถูกสิ่งเป็นภาพ Pixel
และ การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างกราฟิกในภาพยนตร์ Westworld เมื่อปี 1973 (พ.ศ.2516) โดยคอมพิวเตอร์ถูกใช้ในการสร้างภาพมุมมองของตัวเอกของเรื่องที่เป็นหุ่นยนต์ ซึ่งเขามองทุกสิ่งรอบตัวเป็นภาพ Pixel ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของโลกที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างกราฟิก (CG) เป็นต้น
Apple 2 (1977)
ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังไม่นิยมใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานกราฟิกเนื่องจากราคาของคอมพิวเตอร์ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 มีราคาที่แพงมาก ทำให้มันไม่อาจแพร่หลายไปสู่ผู้คนทั่วๆไปได้
จนกระทั่งการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ Apple 2 ในปี1977 (พ.ศ.2520) ด้วยการที่มันเป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเซียนคอมพิวเตอร์แบบสุดๆ เพียงแค่เสียบปลั๊กแล้วเปิดเครื่องก็สามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งต่างจากคอมพิวเตอร์ยี่ห้ออื่นในสมัยนั้นที่ผู้ใช้จะต้องประกอบเครื่องคอมก่อนถึงจะสามารถเปิดงานใช้เครื่องได้
ส่งผลให้ Apple 2 ได้กลายมาเป็นที่นิยมในหมู่คนทั่วๆไป ทำให้เครื่อง Apple 2 ได้กลายมาเป็นเป็นผู้บุกเบิกตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับบุคคลทั่วไป (Personal Computer หรือ PC) อย่างแท้จริง และทำให้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลงอีกด้วย
Quantel Paintbox (1981) คอมพิวเตอร์สำหรับการทำงานด้านการผลิตกราฟิกสำหรับธุรกิจทีวีโดยเฉพาะ
แต่ทว่าเทคโนโลยีการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานกราฟิกก็ยังคงมีราคาแพงสำหรับคนทั่วๆไปอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น
Quantel Paintbox คอมพิวเตอร์สำหรับการทำงานด้านการผลิตกราฟิกสำหรับธุรกิจทีวีโดยเฉพาะ ซึ่งมันถูกวางขายในราคา $150,000 (หรือราคาประมาณ 14 ล้านบาทในปัจจุบัน) เมื่อปี 1981(พ.ศ.2524)
และ Pixar Image Computer คอมพิวเตอร์สำหรับทำงานกราฟิกระดับสูง ซึ่งถูกวางขายในราคา $ 135,000 (หรือราคาประมาณ 11 ล้านบาทในปัจจุบัน) เมื่อปี1986 (พ.ศ.2529) เป็นต้น
ดังนั้นถ้าคุณไม่ใช่คนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ คุณแทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้เครื่องมือดีๆเหล่านี้แม้แต่น้อยเลย ทำให้คนทั่วไปๆหรือแม้แต่บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลายจำต้องทำงานกราฟิกด้วยมือต่อไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
Pixar Image Computer (1986 ) คอมพิวเตอร์สำหรับทำงานกราฟิกระดับสูง
ภาพ Steve Jobs กับเครื่อง Macintosh
ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ1980 ความหวังที่คนทั่วไปและรวมไปถึงบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์จะสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำงานกราฟิกนั้นกำลังจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว เมื่อบริษัทชื่อดังอย่าง Apple เปิดตัวคอมพิวเตอร์ Macintosh ในปี 1984 (2527) ซึ่งได้จุดกระแสความนิยมคอมพิวเตอร์ที่แสดงผลเป็นภาพกราฟิก เพราะคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้นจะนิยมแสดงผลภาพเป็นแค่ตัวอักษรบนหน้าจอที่มีภาพพื้นหลังเป็นสีดำเพียงเท่านั้น
ถึงแม้ Apple จะไม่ใช่เจ้าแรกที่ผลิตคอมพิวเตอร์ที่สามารถแสดงผลเป็นภาพกราฟิกได้ก็ตาม แต่ทว่า Apple ก็เป็นถึงเจ้าแรกที่สามารถประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ก่อนใครเพื่อน เนื่องด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้สุดๆ ตั้งแต่ภายนอกเครื่องจนไปถึง Software ภายในเครื่อง ราคาที่ไม่แพงนักเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ออกมาก่อนหน้านั้น เมื่อรวมกับพลังการตลาดของบริษัท Apple ทำให้มันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับกลุ่มคนทั่วๆไปอยู่ดี เนื่องจากราคาเครื่องที่ยังค่อนข้างแพงอยู่ โดย Apple ขายมันในราคา $2,495 (หรือประมาณ 2 แสนบาทในปัจจุบัน) แต่ในทางกลับกันตลาดการศึกษาและบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์กลับประสบความสำเร็จอย่างงดงามจนสร้างชื่อเสียงมาให้กับบริษัท Apple จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามถึงแม้เครื่อง Macintosh จะไม่ประสบความสำเร็จสำหรับตลาดคนทั่วๆไป แต่มันก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า Macintosh เป็นผู้จุดประกายความหวังของผู้คนในการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานงานกราฟิกอย่างแท้จริง
ส่วนต่อประสานรายคำสั่ง (Command-line interface) เป็นส่วนประสานผู้ใช้ที่คอมก่อน Macintosh นิยมใช้
เกรน โนลล์ (Glenn Knoll)
และต่อมาผู้คนที่คลั่งไคล้ในเรื่องงานกราฟิกก็หันมาใช้งานเครื่อง Macintosh มากขึ้นในระดับนึงและเกรน โนลล์ (Glenn Knoll) ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเขาเป็นศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมนิวเคลียส มหาวิทยาลัยมิชิแกน เป็นคนที่คลั่งไคล้ในงานศิลป์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกันเขายังคลั่งไคล้ในเรื่องเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์อีกด้วย
ซึ่งต่อมาความคลั่งไคล้เหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดมายังลูกของเขาทั้ง 2 คนอย่าง โทมัส (Thomas) และ จอห์น (John) ทำให้ทั้ง 2 คน ได้มีโอกาสเรียนรู้การถ่ายรูปและการใช้คอมพิวเตอร์มาจากพ่อของพวกเขาอีกด้วย ต่อมาในปี 1984 พ่อของพวกเขาได้ซื้อเครื่อง Macintosh ซึ่งมีความสามารถในการแสดงผลภาพกราฟิก ทั้งสองพี่น้องตกตะลึงกับความสามารถของเครื่อง Macintosh และได้กลายมาเป็นแฟนของคอมพิวเตอร์ตระกูลนี้ไปในที่สุด
ซ้าย จอห์น โนลล์ (John Knoll) ขวา โทมัส โนลล์ (Thomas Knoll )
ถึงแม้ทั้งสองพี่น้องจะมีความคลั่งไคล้ที่เหมือนกัน แต่ทั้งสองคนกลับมีความถนัดที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ทั้งคู่มีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คนพี่ โทมัส มีความสามารถในการเขียนโปรแกรมจึงไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่มหาวิทยาลัยที่พ่อของเขาสอนอยู่ ส่วนคนน้อง จอห์น มีความถนัดในงานศิลป์จึงได้ไปทำงานบริษัท Special effect ชื่อดังอย่าง Light and Magic (ILM) ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์ Star Wars, Avatar , Transformer และ ภาพยนตร์จักรวาล Marvel เป็นต้น
ถึงแม้สองพี่น้องจะใช้ชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วดั่งศาสตร์ (Science) และ ศิลป์ (Art) ซึ่งเป็นสองสิ่งที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันและไม่มีวันมาบรรจบเข้าหากันได้ แต่วันหนึ่งโชคชะตาได้นำพาเส้นทางชีวิตของสองพี่น้องให้กลับมาบรรจบอีกครั้ง
ในปี1987 (พ.ศ.2556) ขณะที่โทมัสกำลังเขียนโปรแกรมประมวลภาพดิจิตอล (Digital process programming) เพื่อส่งเป็นวิทยานิพนธ์ใช้จบการศึกษาของเขา ทำให้เขาได้ค้นพบถึงข้อจำกัดของเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh Plus เครื่องใหม่ของเขา มันไม่สามารถแสดงผลภาพระดับสีเทา (Grayscale Image) ในหน้าจอขาวดำของเครื่องได้ส่งผลให้เขาจำเป็นต้องเขียนโปรแกรมใหม่ขึ้นมาเพื่อทำให้มันสามารถแสดงผลบนหน้าจอได้ ซึ่งเขาตั้งชื่อโปรแกรมนี้ว่า Display
ในช่วงเวลาเดียวกัน จอห์นได้มีโอกาสใช้งานคอมพิวเตอร์ Pixar Image ที่บริษัท เขาประทับใจในความสามารถโปรแกรมกราฟิกของเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาระดับ 11 ล้าน เป็นอย่างมาก เนื่องจากมันสามารถทำให้ผู้ใช้ย่อขยาย และ Blur รูปภาพได้อย่างอิสระ Real time และสามารถแก้ไขสี (Color correction) ได้ตามใจต้องการอีกด้วย
ต่อมาเมื่อเขาได้มีโอกาสกลับมาที่บ้าน แล้วได้เห็นโปรแกรม Display ของพี่ชายซึ่งมีความสามารถคล้ายคลึงกับโปรแกรมกราฟิกในเครื่องคอมพิวเตอร์ราคา 11 ล้าน ทำให้จอห์นเห็นถึงโอกาสและความเป็นไปได้ที่จะทำโปรแกรมกราฟิกที่มีความสามารถระดับเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ราคา 11 ล้านมาขายให้กับคนทั่วๆไป เขาไม่รอช้าจึงรีบชักจูงพี่ของเขาทันที แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเนื่องจากมุมมองของทั้งสองช่างแตกต่างกันซะเหลือกันโดยคนพี่นั้นมีความตั้งใจเพียงแค่ทำเพื่อส่งงานและเป็นงานอดิเรกในขณะที่คนน้องกลับมีวิสัยทัศน์กว้างไกลจนถึงขั้นมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ
แต่แล้วความพยายามโน้มน้าวใจของคนน้องก็เป็นอันสำเร็จผลเมื่อคนพี่สามารถเข้าใจว่าเขาไม่จำเป็นต้องเรียนจบถึงปริญญาเอกเพื่อที่จะหันมาสร้างสุดยอดโปรแกรมที่สามารถทำรายได้มหาศาล จึงทำให้จากโปรแกรมที่เคยทำได้เพียงแค่แสดงภาพบนหน้าจอเฉยๆได้ถูกพัฒนากลายเป็นโปรแกรมจัดการรูปภาพอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากนั้นจอห์นก็ลงทุนซื้อ Macintosh II คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple ที่สามารถแสดงผลภาพเป็นสีเพื่อนำมาใช้ในการช่วยเหลือพี่ของเขาในการสร้างโปรแกรมในฐานะผู้ใช้งานโปรแกรมคนแรก
ด้วยประสบการณ์ที่จอห์นได้ทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และได้มีโอกาสสัมผัสกับสุดยอดโปรแกรมกราฟิกในคอมพิวเตอร์ราคา 11 ล้าน ทำให้โปรแกรม Display ได้รับการขัดเกลาให้มีการใช้งานที่ง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้ รวมถึงผู้ใช้จะยังได้รับฟังก์ชั่นความสามารถมากมายที่สามารถพบได้แค่ในคอมพิวเตอร์ระดับมืออาชีพราคาแพงเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มลดระดับแสงเงา,ความสามารถในการแก้ไขสี,การเซฟและดาวน์โหลดข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้โปรแกรมนี้โดดเด่นและล้ำหน้ากว่าโปรแกรมกราฟิกอื่นๆในตลาด ณ ขณะนั้น นั่นก็คือฟังก์ชั่นการเลือกพื้นที่เฉพาะจุดเพื่อใช้เปลี่ยนแปลง (soft-edge area selection) ด้วยความสามารถที่เป็นมากกว่าโปรแกรมที่ใช้แค่แสดงผลภาพธรรมดา ทำให้ทั้งสองพี่น้องตัดสินใจเปลี่ยนชื่อโปรแกรมนี้จาก Display เป็น ImagePro
ในปี 1988 (พ.ศ.2531) หลังจากที่สองพี่น้องได้พัฒนาโปรแกรม ImagePro จนเกือบสมบูรณ์ จึงตัดสินใจไปเร่ขายโปรแกรมนี้ให้กับบริษัทต่าง ๆเพื่อหาทุนมาสนับสนุนในการพัฒนาโปรแกรมต่อ ซึ่งนั่นทำให้สองพี่น้องได้ค้นพบว่ามีคนใช้ชื่อโปรแกรมนี้ไปเสียแล้ว จึงทำให้ทั้งคู่จำต้องเปลี่ยนชื่อโปรแกรมนี้เป็น Photoshop ไปในที่สุด
ต่อมาทั้งสองได้รับการติดต่อยื่นข้อเสนอจากบริษัทผลิตเครื่องสแกนเอกสาร Barneyscan แต่อย่างไรก็ตามบริษัทนี้ก็ไม่ได้มาซื้อขาดโปรแกรมของพวกเขา แต่กลับซื้อแค่โปรแกรมจำนวน 200 ชุด ไปขายบันเดิลคู่กับเครื่องสแกนเอกสารในชื่อ Barneyscan XP และเป็นสัญญาในระยะสั้นแต่เพียงเท่านั้น ทำให้สองพี่น้องจำต้องออกไปค้นหาบริษัทที่มาลงทุนต่อ จนกระทั่งมาจบลงที่บริษัท Adobe เมื่อเดือนกันยายน ปี1988
โปรแกรม Photoshop เวอร์ชั่นสมบูรณ์ ถูกวางจัดจำหน่าย เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1990
หลังจากนั้นสองพี่น้องต่างก็ทุ่มเทพัฒนาโปรแกรม Photoshop จนออกมาเสร็จสมบูรณ์และวางขายเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1990 และยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่โปรแกรมนี้ได้ถูกลงวางขายเพียงไม่ทันไรก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้คนในอุตสาหกรรม สื่อสิ่งพิมพ์ ภาพยนตร์ และแม้แต่ช่างถ่ายรูปมือสมัครเล่นก็ตาม
ด้วยสาเหตุมาจากการที่โปรแกรม Photoshop ถือได้ว่าเป็นโปรแกรมการจัดการรูปภาพโปรแกรมแรกที่ถูกทำออกมาเพื่อขายคนทั่วๆไป ไม่ใช่สำหรับมืออาชีพ ทำให้มีการใช้งานที่ง่ายดายและเป็นมิตรกับผู้ใช้สุดๆแถมราคายังถูกกว่าคู่แข่งที่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย อย่าง Letraset’s Color Studio ที่ขายในราคา $1995 (ประมาณ6หมื่นบาท) ในขณะที่โปรแกรม Photoshop ขายแค่เพียง $895 (ประมาณ2หมื่น8พันบาท) ซึ่งถูกกว่าเกือบ 2 เท่าแถมยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานเยอะและสมจริงกว่าอีกด้วย
ซึ่งเป็นผลมาจากการที่โปรแกรมนี้ถูกสร้างขึ้นโดยคนที่มีประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และการถ่ายภาพของคนน้อง และความหลงใหลและความคลั่งใคล้ในเรื่องการเขียนโปรแกรมของคนพี่ จึงทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทำให้โปรแกรมนี้สามารถตอบโจทย์มืออาชีพได้ดีกว่าโปรแกรมคู่แข่งในตลาด ณ ขณะนั้น
เพราะเครื่องมือที่เหล่ามืออาชีพคุ้นเคยเวลาใช้ตัดต่อรูปด้วยมือไม่ว่าจะเป็น Crop tool ที่ใช้สำหรับตัดหรือย่อขยายภาพโดยที่ไม่เสียสัดส่วน , Brush Tool ที่ใช้สำหรับระบายสีในภาพเพื่อใช้สำหรับ Retouch ลบริ้วรอยหรือสิว , Dodge tool ที่ใช้สำหรับเพิ่มความสว่างของภาพ และ Burn tool ที่ใช้สำหรับเพิ่มความมืดของภาพ เป็นต้น ล้วนถูกรวบรวมไว้อยู่ในโปรแกรมเดียวทั้งหมดอย่าง Photoshop ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายที่มืออาชีพจะเรียนรู้และสามารถใช้งานมันได้อย่างคุ้นเคย ส่งผลให้โปรแกรมนี้ได้กลายมาเป็นขวัญใจมืออาชีพนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
Letraset’s Color Studio
ถึงแม้โปรแกรม Photoshop จะสามารถประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพยนตร์ และแม้แต่ช่างถ่ายรูปมือสมัครเล่นก็ตามในช่วงทศวรรษ1990 แต่มันก็ยังไม่สามารถแพร่หลายไปสู่คนทั่วไปได้อยู่ดี เนื่องมาจากการถ่ายรูปด้วยฟิล์มยังคงได้รับความนิยมมากกว่ากล้องดิจิตอลซึ่งมีราคาแพง และราคาโปรแกรม Photoshop ที่ยังคงแพงสำหรับคนทั่วไปอยู่ดี
จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 2000 ด้วยความที่กล้องดิจิตอลมีราคาถูกลงรวมถึงการเข้าถึงโลก Internet ที่ง่ายและมากขึ้นส่งผลให้ผู้คนสามารถโหลด bit โปรแกรม Photoshop เถื่อนได้จึงทำให้โปรแกรม Photoshop ได้เริ่มแพร่หลายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อโลกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทำให้การทำงานที่เกี่ยวข้องกับกราฟิกที่ในอดีตเคยถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นที่นิยมสำหรับคนทั่วไปในปัจจุบัน ตรงตามเจตนารมณ์ของสองพี่น้องที่ต้องการสร้างโปรแกรมจัดการรูปภาพที่ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
Historyซ้ำ
Livephoto
โฆษณา