14 พ.ค. 2020 เวลา 07:32 • บันเทิง
#REVIEWรายการทีวี
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณเกือบ 4 ปี ไม่มีใครที่ไม่รู้จักรายการร้องเพลงรายการนึงที่โด่งดังอย่างมาก โดยทำสถิติเรตติ้งสูงสุดถึง 13.371 นั่นก็คือรายการ "The Mask Singer หน้ากากนักร้อง" ด้วยความที่เอาดารา นักร้อง และคนมีชื่อเสียงในวงการต่างๆมาใส่หน้ากากร้องเพลงแข่งขันกัน ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ในวงการประกวดร้องเพลงไทย แต่หลังจากปังสุดขีดในซีซั่นที่ 1 เรตติ้งของรายการก็ได้ตกลงอย่างต่อเนื่อง และจากซีซั่นล่าสุดคือ "The Mask งานวัด" เรตติ้งต่างกันถึง 10 เท่า เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเป็นเช่นนี้? ทาง REVIEW ได้วิเคราะห์ไว้ ดังนี้
1.การทำต่อเนื่องโดยไม่พัก
จากความสำเร็จในซีซั่นที่ 1 รายการก็ได้ทำซีซั่นที่ 2 ต่อในทันทีเพื่อหวังต่อยอดความสำเร็จ แต่ผลที่ได้กลับผิดคาด เนื่องจากมาตรฐานของซีซั่นแรกที่ทำไว้สูงมากจากหน้ากากทุเรียน หน้ากากอีกาดำและหน้ากากจิงโจ้ ความคาดหวังของผู้ชมก็ต้องการความสนุกที่มากขึ้นกว่าเดิมหรือเทียบเท่า ซึ่งไม่เป็นเช่นนั้น อีกทั้งผลการแข่งขันยังค้านสายตาในบางครั้ง ส่งผลให้ผู้ชมหาเป็นจำนวนมาก แม้ตั้งแต่ซีซั่น 3 เป็นต้นมา ทางรายการได้เชิญคนที่มีชื่อเสียงมากขึ้นแต่ด้วยความเชื่อมั่นที่เสียไปทำให้เรตติ้งแทนที่จะดีขึ้นกลับลดลงไปเรื่อยๆ
2.สิ่งแปลกใหม่เริ่มที่จะไม่ใหม่
หลังจากโด่งดังในซีซั่นที่ 1 ก็ได้มีรายการในลักษณะที่คล้ายกันคือการให้คนมีชื่อเสียงมาโชว์ความสามารถ ผุดขึ้นมา อาทิ Re-Master Thailand, Star War สงครามดวงดาว และ Stage Fighter ตำนานหมู่สู้ฟัด ทำให้สิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้ชม เริ่มที่จะหาได้ทั่วไป ทำให้ความน่าสนใจค่อยๆลดลง
1
3.รูปแบบรายการที่คงเดิม
เมื่อคุณดูหนังหรือละครเริ่มต้นจะดำเนินเรื่องไปเรื่อยและตอนจบจะเป็นจุดพีคจนน้ำตาไหล แต่ The Mask Singer ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ด้วยรูปแบบรายการที่เป็นร้องเพลง ทำให้แต่ละครั้งก็เป็นเช่นเดิม คือ แข่งขัน-แพ้ถอดหน้ากาก-ชนะเข้ารอบ ทำให้ผู้ชมเริ่มที่จะเบื่อ
อย่างไรก็ตามทาง Workpoint ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ดังนี้
1.จากซีซั่นสู่โปรเจค
เมื่อทางรายการเห็นความนิยมที่ค่อยลดลงก็ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบจากการแข่งแบบซีซั่นเปลี่ยนมาเป็นแบบโปรเจคหรือก็คือแข่งตามธีมในแต่ละโปรเจคเริ่มตั้งแต่ Project A, Line Thai, วรรณคดีไทย, จักรราศี และงานวัดในครั้งล่าสุด โดยผู้ที่เคยมาแล้วก็สมารถกลับมาแข่างอีกได้
1
2.พัฒนาโชว์ให้ดีขึ้น
หลังจากปรับมาเป็นโปรเจค รูปแบบการแข่งขันก็ได้เปลี่ยนไป จากแค่แข่งขันร้องเพลงเป็นแข่งขันในการทำโชว์เพื่อดึงความสามารถของผู้แข่งขันให้มากที่สุด
1
3.เริ่มมีการพัก
หลังจากความผิดพลาดในการทำต่อโดยไม่พัก Workpoint ก็ได้บทเรียนและได้ปรับปรุงเป็นมีการพักโดยมีโปรเจคพิเศษคั่นกลางระหว่างการแข่งขัน คือ Truce Day, Line พราง, Mirror ทำให้เมื่อกลับมาแข่งขัน ความน่าสนใจจึงเพิ่มขึ้น
4.จากเชิญนักร้องที่มีชื่อเสียงเป็นเชิญนักร้องไร้ผลงานและวงการอื่น
จากที่Workpointเคยแก้เกมโดยการเชิญนักร้องที่มีชื่อเสียงมาแข่งกันแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรก็ได้ปรับมาเป็นเชิญนักร้องที่ไม่ค่อยมีผลงานเพลงมากนักในปัจจุบัน นักแสดงหรือวงการอื่นๆที่ร้องเพลงเก่งแต่คนไม่รู้ ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้คนดูเพิ่มขึ้น
1
5.เพลงสากลที่หายไป
ในซีซั่นแรกผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ใช้เพลงสากลทำให้ได้รับความนิยม แต่ในซีซั่นที่ 2 เพลงสากลกลับไม่นิยมเช่นเดิม ผู้แข่งขันที่ใช้เพลงสากลกลับมียอดวิวน้อยกว่าเพลงไทย ซึ่งคาดว่าด้วยคนไทยที่เข้าถึงเพลงไทยได้ง่ายกว่า ส่งผลให้ในช่วงหลังรายการเป็นเพลงไทยแทบจะ 100%
โดยส่วนตัวแอดมินแล้ว The Mask Singer เป็นรายการที่ชื่นชอบและเฝ้าดูตลอดในทุกสัปดาห์ และอยากให้มีไปเรื่อยๆ
โฆษณา