15 พ.ค. 2020 เวลา 14:23 • ปรัชญา
รีวิวหนังสือแห่งการเยียวยา ด้านมืดของผู้ตามหาแสงสว่าง
ภาพจากซีเอ็ดบุ๊ค : t.ly/TeVC
หนังสือเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดย เด็บบี้ ฟอร์ด ซึ่งเธอเป็นนักเขียน ผู้ช่วยโค้ช และอาจารย์ ที่ชาวอเมริกันทุกคนรู้จักเธอจากหนังสือขายดีที่สุดของนิวยอร์กไทมส์ก็คือเรื่องนี้ The Dark Side of the Light Chasers (1998) ซึ่งเด็บบี้มีวัตถุประสงค์ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเอาชนะเงาของพวกเขาด้วยความช่วยเหลือจากหลักจิตวิทยาที่ทันสมัย และการปฏิบัติทางจิตวิญญาณผสมกันที่หนังสือเล่มนี้รวบรวมเอาไว้ (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
ถ้าเราใส่หัวโขนคุณธรรมมากไปจนมองเห็นแต่ด้านชั่วร้ายของคนอื่น เรียกอีกอย่างว่า ฉายเงาของตน (Project one's Shadow) ไปที่ผู้อื่น
คาร์ล ยุง กล่าวเอาไว้ ซึ่งเขาเป็นนักจิตบำบัดและจิตแพทย์ชาวสวิส ผู้ก่อตั้งสำนักจิตวิทยาวิเคราะห์ ยุงเสนอ และพัฒนามโนทัศน์บุคลิกภาพแบบแสดงตัว แม่แบบ (Archetype) และจิตไร้สำนึกร่วม (Collective Unconscious) ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อจิตเวชศาสตร์ และศาสนา วรรณกรรม และสาขาที่เกี่ยวข้อง (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
จากทฤษฎีของคาร์ล ยุง นำมาสู่การปฏิบัติ โดยเด็บบี้ ตั้งคำถามในหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่หน้าแรกๆ ว่า ‘เราเคยโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด คนอื่น หรือไม่ชอบที่เขาเป็นแบบนั้นหรือเปล่า’ เด็บบี้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่าสาเหตุที่เรารู้สึกอย่างนั้น เพราะเรากำลังรู้สึกไม่ชอบเสี้ยวหนึ่งของตัวเองในตัวของเขาคนนั้น หรือ...คนคนนั้นกำลังแสดงท่าทีอันน่ารังเกียจที่ตัวคุณก็มีแต่กำลังตัวเองปกปิดเอาไว้ เพราะคุณเกลียด และไม่ชอบมัน ซึ่งตรงกับที่คาร์ล ยุงอธิบายไว้นั่นเอง..
ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงอธิบายถึงการเยียวยาตัวเอง การยอมรับ โอบรับตัวตนด้านมืดของตัวเอง โดยในหนังสือเธอเล่าถึงเรื่องราวของตัวเอง และผู้เข้ารับการเยียวยา ให้แบบฝึกหัดในแต่ละบท และอธิบายการทำแบบฝึกหัด รวมถึงวิธีการที่จะทำให้เราได้ค้นพบเงามืดของตัวเอง เพื่อตีความหมายของด้านมืดของเราเสียใหม่ แทนที่จะมอบแต่ความเกลียดและปกปิดมันไว้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถฟื้นฟูตัวเองกลับมาเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิมได้
หลังจากอ่านจบแล้ว สิ่งที่ชอบในหนังสือเล่มนี้เลยก็คือ การชี้ให้เห็นประโยชน์ของด้านมืด ให้ความรู้สึกปลดแอกและอภัยตัวเอง มีคำคม มีประโยคสะกิดใจเรา โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า
เราต้องเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์ที่มีทั้งดีและไม่ดี ดังนั้นอย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง การที่เราเป็นเราด้วยเนื้อแท้ จักรวาลจะนำพาเราไปพบกับความสุข
ส่วนตัวให้คะแนนเล่มนี้ 8/10 หัก 2 คะแนนเรื่องการอธิบายวกวน หรือมีนัยที่สื่อถึงจุดประสงค์เดียวซ้ำๆ หลายครั้งมากเกินไป
‘ส่วนข้อคิดที่ผู้เขียนได้หลังอ่านเรื่องนี้จบเลยก็คือ การที่เราไม่ควรปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความผิดพลาด ความเจ็บปวดโดยไม่ทำอะไร แทนที่เราจะเอาแต่จมกับมันเฉยๆ ไม่สู้เราทำความรู้จักมัน โอบกอดมัน แล้วบอกตัวเองว่าอ่อนแอบ้างก็ได้ เยียวยาตัวเอง และให้เวลาตัวเองได้เจ็บปวด
ขนาดแผลยังต้องการรักษา จิตใจเราเองก็ควรได้รับการรักษาเหมือนกัน
ยกตัวอย่างประสบการณ์จริงของผู้เขียน เป็นคนที่ไม่ชอบพูด เก็บกดทุกอย่าง และทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาทั้งที่จิตใจเราไม่โอเค ตอนนั้นคือแย่มากนะ มันทำให้เครียดสะสม แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้ความคิดเปลี่ยนไปเลย จากที่เครียดๆอยู่ คือ เออว่ะ! ทำไมเราถึงมองข้ามความเจ็บปวดตัวเอง แล้วปล่อยมันเรื้อรัง ฉุดรั้งเราไม่ไปไหนแบบนั้น ซึ่งหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้ Mindset ของเราเปลี่ยนไป เกิดการคิดใหม่ ปรับใหม่ ชีวิตดีขึ้นเยอะเลยละ
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กำลังสับสน โมโห โกรธไปซะทุกอย่าง ไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นอะไร หรือไม่มั่นใจในตัวเอง รวมถึงมีภาวะเศร้าซึมเพราะวิกฤตโควิด-19 อยู่ละก็ แนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วคุณจะได้มุมมองในการมองตัวเองใหม่ ส่วนการ
กลับมาเชื่อมั่นในตัวเอง และให้อภัยตัวเองได้อย่างเต็มเปี่ยมได้ไหมนั้น ส่วนตัวคิดว่าคุณคงต้องลองซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน แล้วลองทำแบบฝึกหัดตามหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง ไม่ลองไม่รู้จริงไหม?
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก
- วิกิพีเดีย t.ly/vWwA
โฆษณา