15 พ.ค. 2020 เวลา 19:34
เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 8
ปักเบ็ด หาปลา : กว่าจะได้มาต้องใช้ประสบการณ์
เสียงฟ้าร้องคำรามมาเป็นทอดๆ พร้อมกับลมแรงพัดตามมา ทำให้ต้นไม้ไหวเอนตามแรงลม ไม่นานสายฝนก็กระหน่ำเทลงมา บางครั้งมาพร้อมกับลูกเห็บขาวโพลน หล่นลงบนหลังคาสังกะสีส่งเสียงดังราวกับใครเอาก้อนหินโยนใส่หลังคาบ้าน
พ่อยืนดูสายฝนที่เทลงมาอยู่บนหน้าบ้าน พร้อมกับเดินตรวจหาจุดรอยรั่วของหลังคาบ้านที่จะทำให้น้ำฝนหยดลงบนพื้นบ้าน ส่งเสียงให้น้อย หาอุปกรณ์มารองน้ำ จากจุดที่หลังคารั่ว กาละมังเก่า ถ้วย จาน ที่พอจะเอามารองน้ำไม่ให้ไหลนองเปียกพื้น
" รั่วเยอะจัง" เสียงพ่อบ่นงึมงำ
" สงสัยถึงเวลาปะรอยรั่วได้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวนอนไม่ได้ " แม่บ่นกลับ
" เดี๋ยวพรุ่งนี้จะขึ้นไปดู " พ่อบอกให้แม่สบายใจ
พอเข้าหน้าฝนทุกครั้งการซ่อมแซมหลังคาบ้านของคนบ้านนอกนี่แทบจะเป็นของคู่กัน เพราะถ้าฝนไม่ตกแล้วโอกาสที่จะได้ดูแลหรือตรวจตราหลังคาบ้านนั้นเป็นเรื่องที่มองข้ามกันไป ฝนมาพร้อมกับลม นอกจากพบรอย รั่ว ซึม บางครั้งอาจจะมีถึงขั้นหลังคาหลุดปลิวไปตามกระแสลมที่พัดแรง
พอฝนมาชาวนาก็ได้เวลาขยับตัวอีกครั้ง อาศัยน้ำจากฝนได้ช่วยให้มีน้ำทำนา หากหวังจากแหล่งน้ำธรรมชาติ แม่น้ำ ลำคลองแล้ว คงจะไม่พอใช้สำหรับชาวนา
หลังจากชาวนาลงมือปลูกข้าว ดำนากันเสร็จ ใครที่ว่างจากการทำนาก็จะออกหาปลาเพื่อนำมาเป็นอาหาร เพราะช่วงทำนานั้นเป็นช่วงเวลาที่น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติ อย่างแม่น้ำ ลำห้วย ลำคลอง จะมากกว่าเวลาปกติเพราะตรงกับช่วงหน้าฝน เลยทำให้สัตว์น้ำที่เป็นอาหารมากตามไปด้วย ใครที่หาปลาได้มากหน่อยหลังจากเหลือทำเป็นอาหารก็นำไปขายให้กับเพื่อนบ้านที่มีความต้องการ
ทอดแห ดักลอบ วางไซ ปักเบ็ด ใครมีความชำนาญ หรือเก่งด้านไหนก็จะใช้ความสามารถที่มีเอามาใช้ในช่วงเวลานี้
" พ่อ เตรียมเบ็ดให้ผมหน่อย " น้อยส่งเสียงบอกความต้องการกับพ่อ
" จะเอากี่คัน " พ่อถาม
"เอาซักร้อยนึง" น้อยบอก
" ร้อยนึงเลยเหรอ จะไปปักที่ไหน "พ่อถาม
" แถวๆทุ่งใหญ่ "น้อยตอบ
พ่อไม่ถามต่อ แต่เดินไปเตรียมคันเบ็ดเก่าที่ถูกเก็บไว้ที่ข้างยุ้งข้าว เพราะไม่ได้ใช้งานมานานไว้ให้น้อย พร้อมกับ"หมวงใส่ปลา"ที่สภาพค่อนข้างเก่าพอๆกันกับเบ็ด
ตอนเย็นหลังจากได้คันเบ็ดที่พ่อซ่อมแซมให้เรียบร้อยแล้ว น้อยก็ถือเสียมเดินไปในสวนหน้าบ้าน ลงมือขุดหาไส้เดือนใต้ต้นมะม่วง เพื่อเอามาทำเป็นเหยื่อล่อปลา ซึ่งขุดไม่นานก็ได้มาเต็มถุง
ตกเย็นคณะหาปลาของน้อยกับเพื่อนพร้อมกันที่หน้าบ้าน มีพี่สิฐหัวหน้ากลุ่ม หม่าว ทูน หลอด ก็ออกเดินทาง คราวนี้มีการเตรียมเสบียง เสื้อแขนยาว กันหนาวไปด้วย เพราะจะเป็นการนอนค้างกันที่ทุ่งนาเลย โดยจะกลับมาบ้านในตอนเช้า
พอทุกคนพร้อมก็ออกเดินทาง ทั้งหมดพากันเดินออกทางหลังบ้านเดินลัดเลาะป่าไม้ ผ่านทุ่งนาเขียวขจีของชาวบ้านที่พึ่งดำเสร็จ ตะวันใกล้จะตกดินอากาศเริ่มเย็นหลังจากเดินมาได้พักใหญ่จนใกล้จะถึงที่หมาย พี่สิฐบอกให้เล็งหาทำเลเอาได้เลย ว่าใครจะปักเบ็ดตรงไหนให้เลือกพื้นที่เอาเอง
พอทุกคนมาถึงกระท่อมที่พัก ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่นาของบ้านพี่สิฐ ในกระท่อมมีอุปกรณ์เครื่องมือทำอาหารเกือบจะครบ ทั้งเตา กะทะ หม้อข้าว มีด ตระแกรงสำหรับปิ้งย่าง ข้าวสาร เพราะสำหรับชาวนาที่ต้องมานอนอยู่ที่นาของตัวเองส่วนมากก็จะปลูกกระท่อมเอาไว้พักเวลามาทำนา จะได้ไม่ต้องเดินทางไปกลับเพราะระยะทางมันไกลจากบ้าน หรือมานอนเฝ้าข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วรอขนขึ้นลาน ดังนั้นอุปกรณ์หรือเครื่องมือหุงต้มก็จะต้องมีติดไว้เกือบจะทุกที่
พอได้เวลาต่างคนต่างแยกย้ายกันไปปักเบ็ดตามทำเลที่ตัวเองเล็งไว้ น้อยเดินออกมาห่างจากตัวกระท่อมประมาณเกือบสามร้อยเมตร ลงมือจัดการปักเบ็ดกว่าจะเสร็จครบร้อยคันเล่นเอานานจนมืดเลยทีเดียว
พอทุกคนเสร็จก็กลับมาที่กระท่อมพี่สิฐจัดการหุงข้าว หาอาหารแบ่งให้น้องๆได้กิน ระหว่างกินข้าวพี่สิฐเอ่ยปากชวนน้องๆออกไปส่องกบ ในตอนกลางคืน ก่อนจะไปเปลี่ยนเหยื่อล่อปลา ตกกลางคืนพระจันทร์ส่องแสงสว่างลงมา แม้จะไม่เต็มดวงแต่แสงสว่างก็พอทำให้มองเห็นบริเวณรอบๆได้บ้าง พี่สิฐเดินนำหน้าพร้อมกับไฟฉายแบบคาดติดหน้าผาก น้อยกับเพื่อนเดินตามหลังพร้อมกับไฟฉายติดตัวมาคนละกระบอกต่างคนต่างส่องหากบ เขียด ที่ออกมาเล่นแสงไฟ ซึ่งคืนนี้แต่ละคนก็ได้ไปคนละหลายตัว
บางครั้งก็เกือบจะจับเอาคางคกกลับบ้านเหมือนกัน เพราะมันออกมาเล่นไฟและด้วยความมืดจนบางครั้งก็แยกไม่ออก
" ดูดีดีนะ เดี๋ยวก็ได้กินคางคกกันพอดี "เสียงพี่สิฐแกร้องเตือน
"ระวังงูด้วยนะ ส่องไฟดูให้ทั่ว หาไม้เคาะตามคันนาก่อนด้วย" พี่สิฐเตือนอีกที
บรรยากาศทุ่งนายามค่ำคืนนั้น อากาศเย็นสบายเพราะมีลมโชยมาตลอด มีเสียงของแมลงต่างๆส่งเสียงแข่งกัน มองไปรอบๆก็อาจจะเห็นแสงไฟวิบวับของคนหาปลาอยู่บ้าง เงาตะคุ่มๆของกระท่อม กับต้นไม้อยู่เป็นระยะห่างกัน ท่ามกลางแสงนวลๆของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวยามค่ำคืนที่สาดแสงพอได้มองเห็นคันนา แม้จะไม่สว่างมากนักก็ตาม
หลังจากส่องไฟหากบกันเสร็จก็เดินเลยไปเปลี่ยนเหยื่อที่เบ็ดของตัวเอง บางคนก็ได้ปลาติดมาด้วย
" ได้ปลามามั้ยน้อย "ทูนถาม
"ไม่ได้เลย" น้อยตอบ
" แล้วทูนละ ได้มั้ย "น้อยถาม
"ได้มาสองตัว ปลาหมอ กับปลาช่อนตัวน้อยๆ "ทูนตอบ
พอทุกคนมารวมกันที่กระท่อม พี่สิฐให้ไปล้างหน้าล้างตา ใส่เสื้อกันหนาวเพื่อเตรียมตัวจะนอน ตอนเช้าจะได้เก็บเบ็ดแล้วกลับบ้านกัน พอจัดแจงที่นอนกันลงตัวต่างคนก็นอนห่มผ้าเพราะอากาศเริ่มเย็นบวกกับมีลมโชยมาเรื่อยๆทำให้อากาศหนาวเล็กน้อย
" เหม่อมองฟ้าคืนนี้แสงดาวเรียงรายสวยเด่น
แต่ใจฉันคืนนี้ สุดแสนลำเค็ญหม่นหมาง
ค่ำคืนนั้นได้กอดกระซิบ แนบชิดเคียงข้าง
แต่คืนนี้เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ระทมอ่อนใจ
สุดเหงา ลมโชยมาหนาวสั่น.........."
เสียงเพลงดาวประดับใจ ของ ดอน สอนระเบียบ จากวิทยุทรานสซิสเตอร์ ของพี่สิฐที่เอามาด้วย เปิดเพลงกล่อมทุกคนจนหลับไปตอนไหนไม่มีใครรู้ จนรุ่งเช้าได้ยินเสียงพี่สิฐส่งเสียงเรียกให้ตื่น
" ตื่นๆ เร็ว เช้าแล้ว "
"ไปดูเบ็ดเร็ว จะได้รีบกลับบ้าน " พี่สิฐส่งเสียงปลุก
"เห้ยๆๆ มาดูเบ็ดกูทีเร็ว " เสียงทูนส่งเสียงเอะอะหลังจากไปกู้เบ็ดที่ปักไว้ริมห้วย
ทุกคนวิ่งไปรวมตัวกันพร้อมด้วยพี่สิฐที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว
"ตัวอะไรวะ ตัวใหญ่ชิบหาย " หม่าวส่งเสียงตื่นเต้น
" สงสัยปลาไหล " หลอดพูดบ้าง
พี่สิฐเอื้อมมือไปดึงเบ็ดออกจากตลิ่งที่ทูนปักไว้ในลำห้วย แล้วค่อยๆดึงตัวอะไรไม่รู้ที่สะบัดตัวอยู่ในน้ำจนคันเบ็ดของทูนเกือบหัก
พอดึงคันเบ็ดขึ้นมาพ้นน้ำ แล้วเห็นที่มาของเจ้าตัวที่เกือบทำคันเบ็ดหัก พี่สิฐรีบโยนคันเบ็ดไปข้างๆอย่างเร็ว
" งู " เสียงทุกคนอุทานออกมาพร้อมๆกัน
สภาพของงูตัวที่มาติดเบ็ดตัวนั้น ลำตัวยาวเกือบเมตร ตรงกลางนั้นอ้วนผิดปกติ มันคงจะมากินปลาที่ติดเบ็ดอยู่ก่อนแล้ว
" งูอะไร "น้อยถาม
ไม่มีเสียงตอบ พี่สิฐเดินไปปลดงูตัวนั้นออกจากเบ็ดแล้วปล่อยมันลงน้ำเหมือนเดิม ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปเก็บเบ็ดของตัวเอง
หลังจากที่เก็บเบ็ดกันเสร็จทุกคนก็เตรียมตัวกลับบ้านกัน
" ได้กี่ตัวน้อย "หม่าวถาม
"สี่ห้าตัว มีแต่ปลาหมอ แถมเบ็ดขาดไปหลายคันเลย " น้อยบ่นให้เพื่อนฟัง
" เออกูก้ได้ไม่กี่ตัว ไม่หมานเลยเนาะเอง" หม่าวบ่นพึมพัม
" แต่ก็ยังดี ที่เมื่อคืนได้กบมาหลายตัวเนาะ" ทูนปลอบใจ
" เกือบได้กินงูด้วยแล้วทูน " หม่าวแซวพร้อมเสียงหัวเราะของทุกคน
พี่สิฐสอนเด็กๆว่าการปักเบ็ดในที่นา ต้องสังเกตุระดับน้ำกับต้นข้าวด้วย ถ้าเราปักเบ็ดแล้วปล่อยเหยื่อให้อยู่ติดกับพื้น ก็จะโดนปูมากินเหยื่อ ทำให้เบ็ดขาดได้ ส่วนต้นข้าวก็ให้สังเกตุว่าเป็นต้นข้าวที่ปลูกนานหรือยัง เพราะถ้าปลูกหรือดำ ไม่นาน ก็จะไม่มีปลาจะอาศัยอยู่มีแต่ปูเท่านั้น
หมวง = ข้องใส่ปลา เป็นภาษาถิ่นแถบโคราช
หมาน = มีโชค โชคดี ภาษาถิ่นทางภาคอีสาน
#เด็กบ้านนอก
#เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก
ฝากติดตามผลงานด้วยนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา