16 พ.ค. 2020 เวลา 07:18 • ปรัชญา
บทความนี้มาจากคลิป พระพุทธเจ้า vs พระศิวะ
พระศิวะปางโปรดมเหศวร แต่ถูกนำไปโยงเป็นพกาพรหม
บางท่านอาจจะหาว่าผมลบหลู่พระพุทธเจ้า หรือ เอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาล้อเล่น เห็นภาพปกคลิป ก็ตัดสินไปแล้ว แต่ขอให้อ่านกันดีๆว่า จริงๆ ตำนานนี้มีอยู่จริง ในบทสาธุการ ที่เล่นกันในวงปี่พาทย์
เรื่องนี้เล่าถึงการประลองฤทธิ์กันระหว่างพระพุทธเจ้า กับ มเหศวร ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พระศิวะ เทพทำลายของศาสนาฮินดู
เรื่องราวนี้อยู่ในคัมภีร์โลกบัญญัติ โดยจาก ไตรโลกวินิจฉัยกถา สำนวนที่ 1 เรียงเรียงขึ้นในสมัย ร.1 เรื่องราวเปิดมาที่ เขาไกรลาส โดยพระศิวะในคัมภีร์นี้ชื่อว่า มเหศวรเทวราช เป็นเทพที่ยิ่งใหญ่มีภุชงนาคราชเป็นสังวาลย์ และมีเทวดามากมายยกย่องเพราะมีปรีชาญาณ และที่สำคัญ เป็นอาจารย์ของสัญชัยปริพาชก ซึ่งเป็นพราหมณ์ที่ไม่ได้นับถือพุทธ
พระมเหศวร มีตาทิพย์ และมีความดีมามากมายในสมัยพระพุทธเจ้ายุคต่างๆ พระปัจเจกพุทธเจ้า มีแสงออร่าสง่างามกว่าเทวดาอื่นๆ มีแม่ชื่อ นางจามรี มีเมียชื่อ หาริณี ต่อมา นางหาริณี บำเพ็ญในศีลจนได้นามใหม่ว่า อุมา แปลว่าความรู้อันสว่าง และชื่อว่า อุมาภควตี พระมเหศวร มีลูกกับพระอุมา ชื่อว่า ขันธกุมาร
โดยพระมเหศวรนั้น ล่อลวงสัตว์ให้หลงในโอวาท ไม่ให้เลื่อมใสในศาสนาพุทธ และเกิด อหังการ ขึ้่นมา ทั้งสองมี โคอุศุภราช เป็นพาหนะ เพราะเคยให้น้ำนมวัวเป็นทานแก่คนอื่น และเคยถวายเทียนกับพระภิกษุ มีพระขรรค์เพชร เพราะเคยนถวายมีดโกนกับพระอริยะ แต่มาชาตินี้ ไม่ได้นับถือพุทธ และจะไปกับนันทิ ซึ่งเรียกว่า นันทิอสูรกายเสมอ มีเหล่าภูติผี บริวาร เปรต เดินตาม และคิดว่า ข้านี้ใหญ่สุดไม่มีใครเทียบเคียงได้
4
พระศิวะ มีอีกนามว่า มเหศวร
เมือพระพุทธเจ้าแสดงธรรมที่โลกมนุษย์ พระพรหม พระอินทร์ วงเล็บอีกละ ก็ไปฟังธรรมกันหมดด้วย จนสวรรค์ว่าง พระศิวะจึงคิดว่ายอมไม่ได้ ต้องไปทำลายการเทศนาซะ จึงบังคับว่า ให้ทุกคน รวมพระอุมา นางอัปสรนแต่งตัวสวยๆ ไปเต้นรำยั่วยุใกล้ๆที่เทศนา ให้มหาพรหมกับมานับถือตนเอง
เมื่อพวกนางอัปสร ลงไปเต้นแบบหนังแขก พวกมนุษย์ เทวดา ที่เป็นปุถุชน ได้หลงไหลไปตามพวกนาง แต่พระอริยะ พระโพธิสัตว์หาได้สะทกสะท้านกับกิเลสเหล่านี้ ตอนนั้น มีคนบรรลุธรรมถึง 84000 โกฏิ
1
มาครั้งนึง พระพุทธเจ้า ออกไปสู่ป่าหิมพานต์ที่พระศิวะประทับอยู่ และมีแสงสว่างมาจนแถบนั้นสว่างไปหมด พระศิวะเห็นว่าพระพุทธองค์รัศมีสว่างกว่าเทวดา และมหาพรหม งั้นฝั่งเราก็ต้องเป็นใหญ่ในโลก
พระศิวะจึงท้าประลองฤทธิ์ จะได้รู้ๆกันไปเลยใครฤทธิ์มากกว่า บรรดาพวกนาค ครุฑ เทวดา อสูร พระอินทร์ พระพรหม ต่างมาชมการประลองฤทธิ์คู่หยุดโลกกันใหญ่
1
พระศิวะจึงให้พระพุทธเจ้าหลับตา เพราะจะให้เล่นซ่อนหากัน พระพุทธองค์ก็บอก ได้ และพระมเหศวรก็หายไปด้วยการทำตัวให้ละเอียดเป็นปรมณูแทรกในดิน และมีเสียงท้าทายว่า มาหาเราให้ได้สิ
พระพุทธองค์จึงยื่นพระหัตถ์ไป ปฐพีก็ลายลงแหวกไปแสนชั้น พระมเหศวรอยู่ที่ฝ่ามือซ้ายและเจอมเหศวรตัวเล็กเป็นไซส์อะตอม แบบอยู่ในมิติควอนตัมแบบแอนท์แมนครับพระพุทธองค์เรียก 3 ครั้ง ให้ลุกมา พระศิวะเห็นว่าที่เรียกอยู่แปลว่ายังหาไม่เจอแน่ๆ เพราะเราเล็กขนาดนี้ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ไม่ได้เดานะ เราเห็นด้วยตาทิพย์ see through world ดังนั้นจงออกมา ซึ่งตำนานนี้สังเกตนะครับว่าคล้ายๆตอนพระยูไลท้าหงอคงกระโดดข้ามมือเปี๊ยบ
3
พระศิวะ และ พระพุทธเจ้า
พระศิวะเห็นว่าแพ้จึงเริ่มละอาย คราวนี้เลยท้าว่า ถึงตาข้าหาท่านบ้างก็ปิดตา และพระพุทธเจ้าก็หายไป
1
พระศิวะจึงหาทั่วทุกภพ ป่าหิมพานต์ บาดาล สวรรค์ พรหมโลก ก็ไม่เจอแต่อย่างใด จนเหนื่อย
พระพุทธเจ้าจึงถามว่า อยากเห็นเราหรือ
พระศิวะเหนือ่ยแทบสิ้นลม และบอกว่าไม่เจอสักที พระพุทธองค์จึงตอบว่า ท้าวมหาพรหมกี่พันองค์ก็หาเราไม่เจอ เพราะพระองค์ มีบารมี 30 ทัศน์
ตถาคตบำเพ็ญมา 4 อสงไขยยิ่งแสนกัปป์ และได้แสดงธรรมอันไพเราะ ให้กับพระมเหศวร รวมถึง จนพระศิวะลดอหังการลง และละมิจฉาทิฏฐิและบอกว่า กล่าวว่าข้ายอมแล้ว พระองค์ใหญ่กว่าจริงๆ และขอให้ปรากฏกายด้วยเถิด
พระพุทธองคต์จึงปรากฏกายอยู่เหนือหัวของพระมเหศวรด้านบน และเทวดาทุกคนก็แซ่ซ้องสาธุการ สรรเสริญพระพุทธองค์ที่ชนะมเหศวร ซึ่งเหตุการณ์นั้น มีนิมิตแห่งชัยชนะคือ เกิดแผ่นดินสะเทือนสองแสนสี่หมื่นโยชน์ไหวๆขึ้นมา ทะเลก็กระฉอกเป็นฟอง เขาพระสุเมรุก็สั่นๆค และพระมเหศวรก็กราบวันทาในปาฏิหารย์ครั้งนั้น และสรรเสริญพระพุทธเจ้า
และบอก ข้ารู้จักคุณของพระองค์แล้ว ทุกอย่างในจักรวาลยังเทียบไม่ได้กับ
กรุณาคุณของท่านและเอาพระรัตนตรัยเป้นสรณะ
จากนั้นจึงบอกว่า ต่อไปนี้ถ้าสร้างเทวรูปของข้า ให้มีพระพุทธเจ้าเหนือหัวของรูปปั้นของข้าด้วย ถ้าไใครไม่ทำตามอย่าได้สมปรารถนาเลย
จบตำนานสาธุการด้วยประการฉะนี้
2
พระมเหศวรมีพระพุทธเจ้าเหยียบบนหัว
แน่นอนว่าตำนานนี้ไม่ได้มีอยู่ในพระไตรปิฎกดั้งเดิม แต่หากแต่งขึ้นเพื่อข่มศาสนาพราหมณ์ ฮินดูโดยเฉพาะ
1
ทั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแต่ตำนานในแถบสยาม หรือ สมัยสุโขทัย อโยธยาเท่านั้น ในทิเบตเองยังมีรูปพระมหากาลเหยียบพระพิฆเนศ เพราะในฐานะ ธรรมบาลผู้ปกป้องพุทธศาสนา พระพิฆเนศเป็นเสมือนปฐมบูชาของศาสนาฮินดู และถูกพระมหากาลปราบลง
มหากาลเหยียบพระพิฆเนศ การข่มฮินดูของพุทธในทิเบต
เพราะแท้จริงแล้ว โครงเรื่องนี้ ในพระไตรปิฎกมาจากเรื่องราวการปราบอหังการของพกาพรหม ไม่มีเรื่องของพระมเหศวรแต่อย่างใด เรื่องราวโดยย่อมีอยู่ว่า พรหมตนนึงที่มีความคิดว่า เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และตนยิ่งใหญ่ที่สุด พระพุทธเจ้ารุ้ด้วยญาณ จึงไปโปรดพกาพรหมว่า ไม่ใช่ผู้สร้าง ซึ่งมีการเล่นซ่อนหากันเกิดขึ้นจริง
แต่ตามพระไตรปิฎกแล้ว เนื้่อความไม่มีตรงไหนบอกว่าพระพุทธเจ้าเดินจงกรมเหนือหัวของพกาพรหมแต่ประการใด
1
พระพุทธเจ้าโปรดพกะพรหม
เนื้อเรื่องเต็มคือ อดีตชาติของพกาพรหม ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เขาเกิดเป็นมนุษย์ และบวชเป็นฤาษี เจริญกสิน จนเข้าฌาน 4 ได้ และมาเกิดในพรหมชั้น เวหัปผลา อายุ 500 กัป เมื่อสิ้นอายุ ก็เกิดในชั้นรองลงมา คือ สุภกิณหะ อายุ 64 กัป เมื่อสิ้นอายุอีกรอบ ก็มาลดเป็น พรหมชั้นอาภัสระรัศมีเจิดจ้า อายุ 8 กัปป และสิ้นอายุ ก็มาอยู่ชั้นมหาพรหม อายุ 1 กัปป์
เมื่อจุติแรกๆ ตอนนั้นมีมหาพรหม 72 องค์ พกะพรหมระลึกชาติได้หมด แต่นานเข้า ก็เริ่มลืมอดีต และเกิดความเห็นผิดว่า ตนยิ่งใหญ่สุดแล้วในปฐมฌานภูมิ และบอกว่า ตนคงไม่เกิดไม่แก่ ไม่เจ็บตายอีกแล้ว เราคงเป็นอมตะกระมัง
พระพุทธองค์ ขณะนั้นประทับอยู่โคนต้นรังต้นใหญ่ในเขตโกศล ได้ทราบว่าพกะพรหมมีความเห็นผิดขึ้่นมาว่าตนเป็นผู้สร้าง
จึงได้เสด็จมายังพรหมโลก และบอกว่า ท่านถูกอวิชชาครอบงำเสียแล้ว ที่เชื่อว่าทุกสิ่งเที่ยง และยั่งยืน
ครั้งนั้น พญามาร ได้แอบติดตามพระพุทธเจ้ามาด้วย แบบนี้ต้องขวางเสียแล้ว พญามารจึง แฝงตัวไปในกิเลส อหังการที่ซ่อนอยู่ของพรหมตนนึง แล้วห้ามพระพุทธองค์ว่า ท่านอย่ามารุกรานพกะพรหมเลย เค้าเป็นใหญเหนือคณะพรหม เป็นระดับมหาพรหม รู้ทุกอย่าง ควบคุมสรรพสัตว์ได้ เป็นผู้สร้างสามโลก และจะไปบอกภิกษุพวกนั้นว่า ใครที่เชื่อเรื่องไตรลักษณ์ จะไปเกิดในอบายภูมิหมด จงทำตามที่พกะพรหมสอนดีกว่า
พระพุทธองค์รู้ทันว่า มารเข้ามาสิงพรหมตนนั้น จึงพูดว่า เรารู้นะว่าท่านเป็นมาร ท่านควบคุมจิตพวกพรหมได้ แต่ควบคุมเราไม่ได้ เราไม่ได้ตกในอำนาจ
ท่านเลย
พกะพรหมจึงคุยกับพระพุทธองค์ต่อว่า สิ่งที่เราพูดนั้นจริง ในที่ๆข้าอยู่นี้
แหละคือ ที่ไร้ทุกข์ ถ้าท่านทำตามเรา เราจะปกป้องท่านเอง ถ้าท่านไม่อารักขาเรา เราจะทำให้ท่านต่ำต้อยดุจพุ่มผักไห่เลยทีเดียว
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมว่า ทรงรู้อดีตชาติของพกะพรหม ว่าทำไมได้มาเกิดเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทำไมถึงมีฤทธิ์มาก ทำเอาพกะพรหมสงสัยว่า ท่านรู้ได้ไง พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า พกะพรหมรู้ได้เพียง 1000 จักรวาลเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ว่า ยังมีพรหมอีกมากในมัลติเวิสอื่น
และยังมีพรหมชั้นอื่นอยู่อีกได้แก่ อาภัสรา สุภกิณหา เวหัปหผลา ซึ่งพกะพรหมเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้นเรารู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าท่าน
 
พกะพรหม ยังไม่ยอมลดละ คิดจะจับผิด จึงบอกว่าไม่จริงไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าจึงแสดงลักษณะของนิพพานว่าไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา และไม่มีการเกิดการดับ การมาการไป มีแต่กรรมฐานเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงงฝั่งได้
 
พกะพรหมต้องการหักล้างพระพุทะเจ้า จึงชวนเล่นซ่อนหา และบอกว่า จะหายตัวไป แน่จริงก็หาข้าให้เจอสิ และหายไป พระศาสดาก็บอกอยากทำอะไรก็ทำเถิด
พกาพรหมหายไปอยู่ในความมืด แต่ถูกแสงสว่างขจัดความมืด แบบลินดิส หาตัวพกาพรหมที่ซ่อนเจอ แม้ว่าจะหลบในพุ่ม กัลปพฤกษ์ วิมาน ก็ยังถูกแสงทำให้เห็นตัวได้ พวกพรหมที่เสพดราม่าจึงเยาะเย้ยว่า ไหนบอกหายตัวไง ฮั่นแน่ เห็นนะ
พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นว่าทรงมีฤทธิ์เหนือกว่าพกะพรหม เพื่อปราบอหังการ จึงใช้อิทธิฤทธิ์ ทำให้พวกพรหมมองไม่เห็นพระองค์ และตรัสว่า เราไม่ยินดีในภพ คือนันทิ จึงไม่มีการเกิดอีกต่อไปแล้ว พวกพรหมตกตะลึงที่หาตัวพระพุทธองคืไม่เจอแต่ยังได้ยินเสียง จึงสรรเสริญพระพุทธองค์
พกาพรหมขอให้พระพุทธเจ้าทรงปรากฏพระองค์ เพราะตนยอมแล้ว
เมือพระพุทธเจ้าปรากฏตัวออกมา จึงบอกสาเหตุที่ทำไมพระองค์จึงต้องการมาช่วยพกะพรหมให้ออกจากมิจฉาทิฏฐิ โดย บอกเรื่องราวของ พกาพรหมอในอดีตชาติไว้ 4 เรื่องได้แก่
1 . พกะพรหมเคยเกิดเป็นมนุษย์และเป็นฤาษีสำเร็จฌาน อภิฐญญา วันนึงเห็นแม่น้ำคงคาน้ำเต็มเปี่ยม และใช้ญาณตรวจดู พบว่า มีพ่อค้ากลุ่มนึงหลงทางในทะเลทราย จึงใช้ฤทธิ์ให้เกิดร่องน้ำ ไหลไปในเขตทะเลทราย ทำให้พ่อค้า และสัตว์เทียมเกวียนเหล่านั้นรอดตาย
เรื่องที่ 2 ต่อมาพวกโจรปล้นหมู่บ้าน กวาดต้อนผู้คน และวัวออกไป พวกวัว และหมาเห่าเสียงดัง พระฤาษีพกะพรหมจึงเนมิตกองทัพให้โจรตกใจและเผ่นแน่บ ทิ้งทรัพย์สมบัติ และมนุษย์ที่ยึดมาทิ้งไปจำนวนมาก ช่วยหมู่บ้านไว้
เรื่องที่สามคือ วันนึงชาวบ้านที่อยู่ทางเหนือของแม่น้ำคงคา จะจัดขบวนเรือไปผูกมิตรกับฝั่งใต้ มีการจัดานรื่นเริงริมน้ำ ทำให้นาคราชตัวนึง ในคงคาโกรธ และบอก ชิชะ ไอ้พวกนี้ บังอาจมากไม่เคารพเรา และยังเปิดเพลงเสียงดังหนวกหู จึงโผล่ขึ้่นมา แยกน้ำเป็นสองฟาก ชูพังพาน คำรามใส่เรือ ชาวบ้านตกใจหวาดกลัว ฤาษีพกะพรหมจึงแปลงเป็นครุฑ บินโฉบมา ทำให้นาคราชตัวนี้ตกใจ ดำหนีไปในแม่น้ำคงคา
 
และเรื่องที่ 4 คึอ ชาติต่อมา พกะพรหม เกิดมาเป็นฤาษีนามว่า เกสวะในชาตินัั้น พระโพธิสัตว์หรือ พระโคดมของเรามีชื่อว่า กัปปมาณพ เป็นศิษย์ของเกสวะ ก็เท่ากับว่า พกะพรหมเคยเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้าในอดีตชาตินั้นเอง ซึ่งพระโพธิสัตว์ที่เป็นศิษย์ ก็ปรนิบัติอาจารย์ดีเยี่ยม
ทั้งหมดนี้คือ ศีลวัตของพกะพรหม ที่เคยมีบุญร่วมกันมากับพระโพธิสัตว์ ทำให้พระองค์มาแสดงความกตัญญูต่ออดีตอาจารย์นั่นเอง
เล่าจบแล้ว พกะพรหม จึงสรรเสริญว่า พระองค์รู้อายุของข้าจริงๆ เรื่องอื่นๆก็ทรงทราบ สมแล้วที่พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ และทำให้พรหมโลกสว่างไสว ณ เวลานี้
พวกพรหมจึงเชื้อเชิญให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมต่อ แม้ว่าพญามารที่สิงพรหมอยู่ พยายามห้ามปราม แต่เปล่าประโยชน์ มุตาดะ พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมชื่อว่า พรหมนิมันตนิกสูตร ตามคำเชื้อเชิญของพวกพรหม และเมื่อแสดงธรรมจบแล้ว พกาพรหม และพวกพรหมรวมกว่า 10000 องค์ ก็บรรลุอรหันต์ที่นั่น
3
พกะพรหมบรรลุอรหันต์พร้อมพรหมตนอื่นๆ
เราจะเห็นได้ว่า ไม่มีข้อความใด บอกว่า พระพุทธองค์ทรงประทับบนหัวพกะพรหม หรือ พกาพรหม ที่เหมือนกับตำนานโปรดมเหศวรแต่อย่างใด
น่าแปลกที่คนไทยสมัยนี้ที่ไม่ได้อ่านตำราโบราณ หรือ ศึกษาโบราณคดี พอได้ยินว่า พระพุทธเจ้าประลองกับพระมเหศวร(พระอิศวร-พระศิวะ) แล้วก็มีความคิดว่า ผู้เขียนเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาล้อเล่น ทั้งที่ ตำนานนี้ก็มีอยู่จริง
อาจจะสะท้อนว่าแท้จริง สังคมไทยไม่ได้รับการปลูกฝังให้ศึกษาเทวปกรณัมมากเท่าที่ควร และมีศาสนาพุทธเป็นแกนกลางมากเกินไป จนไม่รู้ว่า
ในอดีต โบราณาจารย์ก็เคยแต่งเทพปกรณัมข่มศาสนาฮินดูไว้ไม่น้อย ไม่ใช่
เพียงแค่เรื่อง ฮินดูบอกว่าพระพุทธองค์เป็นอวตารของพระนารายณ์เท่านั้น
ฝั่งพุทธเองก็ใช่ย่อย หรือจะยกตัวอย่างอีกอย่างคือ ในประเทศญี่ปุ่นเอง ก็เคยมีรูปวาด เมียวโอ เหยียบบนตัวพระมหาเทพ หรือ พระศิวะเช่นกัน ในฐานะเทพนอกพุทธศาสนา แต่ยุคนี้อาจจะไม่ค่อยได้เห็นแล้ว
นอกจากตำนานโปรดมเหศวรแล้ว ยังมีอีกตำนานหนึ่งคือ เรื่องพระพิฆเนศเศียรขาด พระอิศวรพยายามจะต่อเศียรแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเทวดาต้องไปเชิญ พระพุทธองค์ บ้างก็บอกว่าเป็น พระคิริมานนท์ มาสวดพระคาถาชินบัญชรให้จึงจะสามารถต่อเศียรได้ ชัดเจนว่าเป็นการแสดงความเหนือชั้นของพระพุทธองค์ ที่เหนือกว่าเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบไม่ต้องสงสัย
ภาพวิทยราช (เมียวโอ) เหยียบพระศิวะ ในศิลปะญี่ปุ่น
บทสรุปของเรื่อง ผู้เขียนจึงอยากให้ปลูกฝังการเปิดกว้างในการศึกษาแนวคิด ปรัชญา ศาสนาอื่นบ้าง นอกจากจะเอาพุทธเป็นแกนกลางและข่มขี่คนนั้นคนนี้อย่างเดียว ส่วนท่านจะนับถืออะไรเป็นสรณะนั้นสุดแล้วแต่ความเชื่อ และวิจารณญาณของท่านโดยไม่ไปข่มขี่ความเชื่อของคนอื่นก็เพียงพอ
บรรณานุกรม
คเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์ สนพ. สร้างสรรค์บุ๊คส์
พระศิวะ มหาเทพแห่งการทำลายล้าง โดย รศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ สนพ. อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด
โฆษณา