16 พ.ค. 2020 เวลา 10:21 • ไลฟ์สไตล์
ประเทศไทยมีดีกว่าที่คิด!
เบื่อๆอากาศร้อน อยากจะหนีไปอยู่ต่างประเทศซะจริงๆ " หรือ "เบื่อประเทศไทยอยากจะหนีไปดาวอังคารซะเลย"และอีกสารพัดคำบ่นที่ออกมาจากปาก เชื่อว่าคนไทยหลายๆคนก็คงจะเคยบ่นอะไรทำนองนี้ หรือถ้าไม่บ่นก็ต้องมีคิดบ้างแหละน่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา หลายอย่างที่เรานำไปเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วรู้สึกเซ็งจริงๆ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนๆหนึ่งที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว คุณจะเห็นมุมมองอะไรใหม่ๆที่หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ และอาจจะรู้สึกว่าเราโชคดีแค่ไหน ที่เกิดมาเป็นคนไทย สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเราบางสิ่งก็อาจจะดีกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วก็ได้ มาดูกันเลยค่ะ
1.ยิ้มสยาม
รอยยิ้มที่จริงใจและดูเป็นมิตรทำให้คนไทยเราดูเฟรนลี่ย์สุดๆ ถึงกับเรียกได้ว่าเป็น Land of smile เลยทีเดียว แต่ที่ต่างประเทศ ยิ้มสยามของเราอาจจะดูประหลาดไปเลย เพราะรอยยิ้มของเราอาจจะถูกตีความเป็นอย่างอื่นไปได้ ถ้าเผลอไปส่งยิ้มให้กับคนที่ไม่รู้จัก เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่ไม่ค่อยยิ้มให้กันสักเท่าไหร่ สังคมที่นี้ค่อนข้างตัวใครตัวมัน ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพอากาศที่หนาวจนยิ้มไม่ออกหรือเปล่า ตัวผู้เขียนเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่จากที่สอบถามเขามา ก็ได้ความว่ามันเป็นวัฒนธรรมของเขาค่ะ ไม่ใช่เพราะโกรธแค้นคนอื่นมาแต่อย่างใด
2.แสงแดด
แดดที่เมืองไทยเราร้อนจนแทบจะละลาย คิดแล้วอยากจะโยนน้ำแข็งไปให้พระอาทิตย์ซะเลย แต่คุณรู้หรือเปล่า ว่าชาวต่างชาติส่วนใหญ่เขาคิดว่าคนไทยเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอแดดทุกวัน เทียบกับพวกเขาที่เจอแสงแดดไม่กี่เดือนต่อปี บางพื้นที่อาจจะไม่กี่วันต่อปีด้วยซ้ำ เห็นแสงแดดเหมือนเห็นแสงสว่างของชีวิต (อะไรจะขนาดนั้น...) ถึงกับต้องวิ่งมารับแสงแดดกันเลยทีเดียว เพราะอากาศที่หนาวซะจนมีหิมะปกคลุมไปทั่ว สภาพอากาศที่หนาวเย็นเป็นส่วนใหญ่ และบรรยากาศที่มืดครึ้มเป็นเวลาหลายเดือน ท้องฟ้าเป็นสีเทา ต้นไม้ที่เหลือแต่กิ่งก้านแทบไม่มีใบให้เห็น หมอกที่ลงมาหนาแน่น ฝรั่งบางคนถึงกับพูดติดตลกว่าฤดูหนาวเป็นฤดูแห่งการฆ่าตัวตายเลยทีเดียว เพราะมันทั้งหนาว และมืดครึ้มชวนน่าหดหู่เหมือนในหนังวันสิ้นโลกยังไงยังงั้น
3.อาหารการกิน
เรียกได้ว่าอาหารการกินสำหรับคนไทยนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เห็นได้จากร้านอาหารที่มีอยู่ทั่วทุกมุมทุกซอย และยังมีอาหารจานด่วน อาหารข้างทางที่มีขายตลอด 24ชั่วโมง แต่ที่ต่างประเทศอาหารข้างทางหรือที่เรียกกันว่า Street food นั้นแทบจะไม่มีให้เห็นเลย แถมร้านอาหารยังเปิดปิดเป็นเวลา ไม่ได้มีเปิดตลอดเวลา และร้านอาหารส่วนใหญ่ก็มีราคาแพง ผู้คนส่วนมากจึงนิยมทำอาหารกินเอง ส่วนร้านอาหารก็มักจะไปในช่วงวันสำคัญหรือโอกาสพิเศษกันเท่านั้น และจำเป็นจะต้องจองล่วงหน้าไว้อีกด้วย และบางประเทศก็อาจจะมีข้อจำกัดที่เกี่ยวกับข้อห้ามทางศาสนา  ต่างจากที่เมืองไทยเรา จะเดินเข้าร้านไหนก็ได้ตามสะดวก แถมราคายังถูกและอร่อยอีกด้วย
4.ระบบสาธารณสุข
หลายคนคิดว่าระบบสาธารณสุขของประเทศที่พัฒนาแล้วคงจะรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย แต่ก็ไม่เสมอไปค่ะ เพราะถ้าหากเราเกิดเจ็บป่วยเราไม่สามารถอยู่ๆก็เดินไปเข้าโรงพยายาลได้เลย แล้วคิลนิกก็ไม่ได้มีเปิดบริการมากมายเหมือนที่เมืองไทย และจะซื้อยาทานเองก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีใบอนุญาตจากหมอ ระบบสาธารณสุขที่นี้คุณจำเป็นต้องมีการโทรนัดล่วงหน้ากับคุณหมอก่อน บางทีอาจต้องรอวันสองวันในกรณีที่ไม่ใช่เจ็บป่วยฉุกเฉิน หากมีอาการไข้หรือตัวร้อนเป็นหวัด บางทีแทบจะไม่ได้ยาอะไรมาเลยด้วยซ้ำ เพราะแพทย์ที่นี้จะไม่ค่อยสั่งยาให้ผู้ป่วย แต่จะแนะนำด้านโภชนาการและการดูแลตัวเองระหว่างป่วยซะมากกว่า เพราะป้องกันการทานยาเกินขนาดและไม่จำเป็นต่อร่างกาย ตัวผู้เขียนเองก็เคยเป็นไข้หวัด ไอหนักมาก  สิ่งที่หมอบอกคือกลับบ้านไปดื่มชาใส่น้ำผึ้งมะนาว และก็ดื่มน้ำเยอะๆ แค่นั้น ถ้าเป็นบ้านเราเข้าคิลนิก ฉีดยา จ่ายตังก็จบล่ะ
5.ร้านสะดวกซื้อ
ฝรั่งที่มาเห็นเซเว่นอีเลฟเว่นบ้านเราถึงกับร้องว่า Oh my god!! เพราะเป็นร้านสะดวกซื้อที่สะดวกสมชื่อจริงๆมีขายทุกอย่าง และยังเปิดตลอด24ชั่วโมง แถมไปที่ไหนก็เจอเยอะแยะโดยเฉพาะปั๊มน้ำมัน มีทุกที่จริงๆ แต่ที่ต่างประเทศร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่ไม่ได้มีขายทุกอย่าง และไม่ได้มีทุกที่!! เพราะฉะนั้นเวลาเดินทางไปปิกนิคหรือเดินทางไกล ผู้คนจึงต้องทำอาหารใส่กล่องไว้ทานเอง หรือต้องไปทานที่ร้านอาหารเอา (ถ้ามีนะ) ต่างจากที่ไทย หิวตอนไหนก็แวะจอดตอนนั้น ได้เลย สะดวกสุดๆ
6.ห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาเก็ต
ห้างสรรพสินค้าและซุปเกอร์มาเก็ตไม่ได้เปิดขายทุกวัน ดังนั้นการจะไปซื้อของ จึงต้องวางแผนให้ดี เพราะวันหยุดก็คือทุกอย่างหยุดหมดเลย ต่างจากที่ไทยเรา ต่อให้หยุดเสาร์อาทิตย์ คนส่วนใหญ่ก็มักจะมาเดินตากแอร์เล่นตามห้างสรรพสินค้าและช็อปปิ้งกันในวันหยุด แต่สำหรับฝรั่งวันหยุดคือวันที่ได้พักผ่อนใช้เวลากับครอบครัว นอกจากสถานที่ราชการจะหยุดแล้ว แต่ยังรวมไปถึงห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาเก็ตด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่จึงมักใช้เวลาอยู่บ้านหรือทำกิจกรรมกับเด็กๆ อาจจะมีขับรถไปปิกนิคหรือทำบาร์บิคิวตามป่าในพื้นที่ธรรมชาติบ้างแต่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่เขาจัดไว้ให้ทำบาร์บีคิวเท่านั้นเพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัยได้ค่ะ
7.เพื่อนบ้าน
ชีวิตในต่างแดน การจะมีเพื่อนบ้านที่คอยไปมาหาสู่กันค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะต่อให้คุณอยู่บ้านใกล้กัน หรือบางคนอยู่ห้องข้างๆกันแท้ๆก็แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลย เรียกว่ามีความเป็นส่วนตัวกันสุดๆ  และด้วยอากาศที่หนาวจึงไม่ค่อยมีใครมานั่งเล่นจับกลุ่มกันอยู่นอกบ้านกันมากนัก ยกเว้นในช่วงซัมเมอร์ที่อาจจะพอมีบ้าง ด้วยเหตุนี้การที่จะมีใครมาสอดส่องเรื่องของเราจึงแทบจะไม่มี เรียกได้ว่าต่างคนต่างอยู่ ต่อให้เจอกันก็อาจจะมีการทักทายกันบ้างแต่จะไม่มีการถามไถ่ถึงเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด เพราะถือว่าเสียมารยาท แม้แต่ตัวผู้เขียนเองได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศก็นาน เรียกได้ว่าผ่านมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนบ้านตัวเองเลย55 เอาเป็นว่าอยู่ๆดีจะไปเรียกเพื่อนบ้านมาจกส้มตำกินกันเหมือนที่เมืองไทย คงเป็นไปได้ยากอ่ะนะ
8.มอเตอร์ไซต์
ไม่แปลกใจเวลาที่ฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยจะพากันเช่ามอเตอร์ไซต์ขับกัน เพราะมันช่างสร้างความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจสำหรับพวกเขามากๆ เพราะอะไรนะหรอ? เพราะบ้านเขาไม่ค่อยมียังไงละ!! ต่างประเทศทุกๆคนต้องมีรถยนต์ขับ หรือไม่ก็ขึ้นรถบัสเอา จะให้สะดวกสบายเหมือนเมืองไทยก็ไม่ใช่ วินมอไซต์รับจ้างตามปากซอยก็ไม่มี จะให้มาซิ่งมอไซต์ยกล้อเหมือนบ้านเราก็ไม่ได้ เพราะอากาศมันหนาวยังไงละค่ะ แถมกฎหมายจราจรของบ้านเขาที่ค่อนข้างเคร่งครัด ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ พูดได้ว่าต่างประเทศการจราจรบ้านเค้าค่อนข้างมีระเบียบ และอุบัติเหตุมีน้อยมาก เพราะทุกคนเคารพกฎหมายและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆค่ะ
9.ผักผลไม้
ประเทศไทยเราขึ้นชื่อในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์ เพราะด้วยอากาศที่ร้อนชื้น จึงทำให้มีผักผลไม้หลายชนิด และยังให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี เรียกได้ว่ามีผักผลไม้ให้กินได้แบบหน่ำใจ แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย แต่ที่ต่างประเทศผักผลไม้ก็มีหลายชนิดเช่นกัน เพียงแต่ค่อนข้างแตกต่างจากบ้านเรา และหน้าหนาวก็อาจต้องซื้อผักที่มีการแช่แข็งเอาไว้ ผลไม้ก็ไม่ได้มีหลากหลาย เพราะอากาศที่หนาวจนเกินไป จนส่งผลกระทบต่อการเพราะปลูกด้วยนั้นเอง รวมไปถึงผักผลไม้ที่มีการนำเข้าจากประเทศอื่นๆก็อาจจะทำให้มีราคาสูงกว่าปกติ
10. ความสัมพันธ์ในครอบครัว
สังคมไทยเราค่อนข้างมีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้น และมีความผูกพันกัน เห็นได้จากที่แต่ละครอบครัวที่ยังเป็นครอบครัวใหญ่ และไปมาหาสู่กันเสมอ แต่ที่ต่างประเทศสำหรับชาวตะวันตกความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างจะแตกต่าง เพราะพวกเขามักจะสอนให้เด็กๆพึ่งพาตัวเอง มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออก เห็นได้จากเมื่ออายุ18ปี ขึ้นไป พวกเขาก็จะเริ่มย้ายออกจากบ้านและไปใช้ชีวิตของตัวเอง บางคนก็อาจจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย และจะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ก็แค่ช่วงวันหยุดหรือโอกาสพิเศษเท่านั้นค่ะ...
โฆษณา