จาก Part ที่ 1 และ Part ที่ 2 ที่ผ่านมาผมได้อธิบายถึงองค์ประกอบที่ 1 “Loss Definition” และองค์ประกอบที่ 2 “16 Major loss” ส่วนที่ 1 ,2 และ 3 ไปแล้ว ใน Chapter นี้ผมจะมาอธิบายถึง ส่วนที่ 4 Loss ที่มีผลกับประสิทธิภาพต้นทุน และหัวใจหลักของ Content ทั้งหมดคือ Loss Cost Matrix สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านบทความ Part ที่ 1 และ 2 สามารถอ่านย้อนหลังได้ตาม Link ท้ายบทความครับ
ส่วนที่ 4 Loss ที่มีผลกับประสิทธิภาพต้นทุนประกอบด้วยอะไรบ้างมาดูกัน
1. Energy loss คือ Loss ที่มุ่งเน้นไปที่พลังงานที่ใช้ในการผลิต เช่นไฟฟ้า แก๊ส ไอน้ำ อากาศ น้ำมันเชื้อเพลิง โดยเป้าหมายจะต้องใช้พลังให้เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อเทียบปริมาณ ต่อหน่วยการผลิต สำหรับ Loss หมวดนี้ จำเป็นต้องมี Definition การคำนวณ Consumption ต่อหน่วยที่ถูกต้องที่สุดเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บข้อมูล
ตัวอย่าง Loss ต่างๆ ในโรงงานที่เกี่ยวกับ Energy loss
2. Jig and Die loss คือ ต้นทุนที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากที่หน่วยงาน Project คำนวณไว้ตลอดอายุการใช้งานของ Jig หรือ Die ตัวนั้นๆ เมื่อเทียบยอดการผลิตต่อหน่วยตลอดอายุการใช้งาน (LCC : Life Cycle Cost)
3. Yield loss คือ Loss ที่เกิดจาก Incoming yield ลบด้วย Outgoing yield หรือน้ำหนักรับเข้า ลบด้วยน้ำหนักขายออก Case นี้จะใช้ได้ในกรณีที่กระบวนการไม่มีการเพิ่มน้ำหนักไปกับ Material เช่น Stamping เป็นต้น
ในกรณีที่มีการเพิ่มน้ำหนัก เช่น Coating line จะต้องมีการคำนวณบวกน้ำหนักความหนาของ Layer coating เข้าไปด้วย แล้วค่อยเอามาลบกับน้ำหนัก ตัวอย่างการคำนวณเช่น Net weight = Total weight - Pass weight
ในส่วน Major loss ทั้งหมดผมก็ได้ขยายความแต่ละ Major พอสังเขปหวังว่าจะพอช่วยให้หลายๆท่านเข้าใจความหมายของ Loss มากขึ้น หรือมีข้อสงสัยอะไร สามารถ Comment ไว้ใต้บทความได้เลยครับ ถ้าตอบได้จะตอบให้ครับ
องค์ประกอบที่ 3 การทำ Loss Cost Matrix โดยผมจะขออธิบายออกมาเป็นข้อๆ เพื่อลดความสับสนและให้เข้าใจง่าย เริ่มจาก
1 Loss Structure คือ โครงสร้างของ Loss ที่ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย 16 Major loss หลัก แต่เราสามารถที่จะนิยาม Loss อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของเราเพิ่มเข้ามาและตัดในส่วน Loss ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปได้
สุดท้ายต่อให้เรากำหนดโครงสร้าง Cost และ Loss ดีขนาดไหนถ้าขาดระบบในการจัดเก็บ ในการค้นหา Loss เราก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเรามี Loss ที่สูญเสียในบริษัทต่อปีเท่าไหร่